
รองศาสตราจารย์ ดร. มงคล รักษาพัชรวงศ์ หัวหน้าโครงการ CAP Platform มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า วว่า ปัจจุบัน ภาคการเกษตรของไทยเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งสัดส่วน GDP ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และความเสียหายจากสภาวะอากาศแปรปรวนซึ่งสูงถึง 1.79-8.38 หมื่นล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ โครงสร้างแรงงานภาคเกษตรที่มีแนวโน้มเป็นผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น เป็นกำแพงสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข CAP Platform จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับองค์ความรู้การเกษตรปลอดภัย โดยเน้นการรวมกลุ่มเกษตรกรเป็นวิสาหกิจเพื่อสร้างความเข้มแข็งและ Economy of Scale ในการบริหารจัดการ
โดยโครงการนี้มุ่งเน้น การพัฒนาและเชื่อมโยงแพลตฟอร์ม CAP เข้ากับระบบของหน่วยงานภาครัฐ อย่าง สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) และ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เพื่อให้บริการด้านการตรวจรับรองสินค้าเกษตรปลอดภัยและสนับสนุนตลาดในยุคดิจิทัล อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาต่อยอดฟังก์ชันบริการ ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รวมถึง การขยายฐานผู้ใช้บริการ CAP Platform อย่างกว้างขวาง ภายใต้ความร่วมมือกับ ส.ป.ก. และ อ.ต.ก.
รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีและจัดทำสื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิผล ซึ่ง CAP Platform ได้รับการพัฒนาให้รองรับการใช้งานบน SMART Device ได้สร้างกลไกขับเคลื่อนวิสาหกิจชุมชนอย่างครบวงจร ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
ในส่วนของต้นน้ำ หรือ การผลิต แพลตฟอร์มได้พัฒนาส่วนที่เรียกว่า Farm Passbook สำหรับการบันทึกและบริหารจัดการข้อมูลภายในแปลงในรูปแบบดิจิทัล พร้อมนำข้อมูลสารสนเทศจาก ภาพถ่ายดาวเทียม และแบบจำลองการเจริญเติบโต มาช่วยสนับสนุนการตัดสินใจอย่างแม่นยำ
ส่วนของกลางน้ำ หรือ การสร้างมาตรฐาน โครงการเน้นการสร้างองค์ความรู้เพื่อให้เกษตรกรสามารถประเมินตนเองและเข้าใจมาตรฐาน GAP และ Organic พร้อมพัฒนาเครื่องมือควบคุมคุณภาพสินค้าภายในกลุ่ม (Internal Control System)
โดยวิสาหกิจชุมชนที่เข้าร่วมประเมิน 4 แห่ง สามารถผ่านเกณฑ์มาตรฐานเกษตรปลอดภัยในระดับสูงถึง 56.92% และคะแนนความเข้าใจมาตรฐาน Organic สูงถึง 93.98% ในมิติ Internal Audit นอกจากนี้ ยังมีการใช้ QR Code เพื่อการ ทวนสอบย้อนกลับ (Traceability) ในทุกขั้นตอนการผลิต ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค
สำหรับ ปลายน้ำ หรือ การตลาด CAP Platform ได้พัฒนาตลาดออนไลน์ Open cart และเชื่อมโยงผ่าน CAP-API เข้ากับตลาดเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่อย่าง Shopee ในลักษณะ Drop-shipping ซึ่งเป็นการสร้างระบบ Multi-Channel Online Marketing ที่คาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างยอดขายให้กับกลุ่มวิสาหกิจได้ ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม CAP Platform ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือดิจิทัล แต่เป็นกลไกที่สร้างการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ โดยเห็นได้จากการที่ เกษตรกร 97 ราย (อายุเฉลี่ย 53 ปี) ให้การยอมรับในการใช้เทคโนโลยีสูงถึง 83% ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างรากฐานผู้ประกอบการเกษตรยุคใหม่ที่สามารถบริหารความเสี่ยงและเข้าถึงโอกาสทางตลาดมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ผลตอบรับจากผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าและใช้การตรวจสอบย้อนกลับ (QR Code) มีความพึงพอใจสูงถึง 92.50% ซึ่งตอกย้ำความสำเร็จในการสร้างมาตรฐานสินค้าที่เชื่อถือได้" ดร. มงคล กล่าวถึงความสำเร็จของโครงการฯ
สำหรับโครงการ CAP Platform ถือเป็นรากฐานสำคัญในการปฏิรูปภาคการเกษตรไทยให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืนและทันสมัย ภายใต้ความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อขยายขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับประเทศต่อไป
ผู้นำหญิงผู้ทรงอิทธิพล : นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี ผู้นำธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคครบวงจรของไทย ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน The Fortune Most Powerful Women Asia 2025 หรือ ผู้นำหญิงผู้ทรงอิทธิพลแห่งภูมิภาคเอเชีย จาก นิตยสารฟอร์จูน (Fortune) สื่อธุรกิจชั้นนำระดับโลก
ในปีนี้ นางฐาปณี ได้รับการจัดอยู่ใน อันดับที่ 65 จากรายชื่อทั้งหมด 100 คน ทั่วภูมิภาคเอเชีย และถือเป็น Top 3 ของผู้นำหญิงไทยที่ได้รับการจัดอันดับจาก Fortune ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 สะท้อนถึงบทบาทอันโดดเด่นในการบริหารองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคง พร้อมทั้งผลักดันประเด็นความยั่งยืนควบคู่กับการสร้างคุณค่าให้กับสังคม
สำหรับการจัดอันดับ The Fortune Most Powerful Women Asia ดำเนินการโดยกองบรรณาธิการของนิตยสารฟอร์จูน โดยพิจารณาจากผู้นำหญิงในกว่า 14 ประเทศ อาทิ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย
โดยคัดเลือกจากผลงานด้านการบริหารจัดการองค์กรอย่างเป็นรูปธรรม ความสามารถในการกำหนดทิศทางในอนาคต และอิทธิพลเชิงบวกที่มีต่อเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง
นางฐาปณี กล่าวว่า การได้รับการจัดอันดับจาก Fortune ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ถือเป็นกำลังใจสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ บีเจซี ในการสร้างการเติบโตควบคู่กับความยั่งยืน เราจะเดินหน้าทำงานเพื่อสร้างคุณค่าให้กับทั้งองค์กร พนักงาน คู่ค้า ลูกค้า และสังคมในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง
หักบัญชีได้แล้ว : ธนาคารกสิกรไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านบริการทางการเงินด้วยการจับมือกับ Netflix ผู้นำบริการสตรีมมิงด้านความบันเทิงระดับโลก เปิดให้บริการชำระค่าสมาชิก Netflix ผ่านการผูกบัญชีธนาคารแบบหักบัญชีอัตโนมัติผ่าน K PLUS เป็นธนาคารแรกของประเทศไทย ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท กสิกร โกลบอล เพย์เมนต์ จำกัด (KGP) บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินของธนาคารกสิกรไทย เพื่อมอบประสบการณ์การชำระเงินที่สะดวก ราบรื่น และปลอดภัยสูงสุดให้แก่ลูกค้า