
ทุกเดือนตุลาคมกรุงเทพฯ จะกลับมาเป็นเมืองของหนังสืออีกครั้งกับ “งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ” ในฐานะงานใหญ่ที่สุดของปีของวงการหนังสือไทยถัดจากสัปดาห์หนังสือที่มักจะจัดขึ้นควบคู่กับสัปดาห์หนังสือนานาชาติในช่วงครึ่งปีแรก
ทั้งสองงานดึงดูดนักอ่านมาเป็นเวลาหลายปีจนทำให้เห็นว่างานหนังสือประจำปีไม่ได้เป็นเพียงเทศกาลของนักอ่าน แต่ยังเป็นเครื่องวัด “ชีพจรทางเศรษฐกิจ” ของอุตสาหกรรมหนังสือไทย งานหนึ่งงานสร้างเงินสะพัดหลายร้อยล้านบาท ดึงคนกว่าล้านชีวิตให้กลับมาซื้อ อ่าน สร้างรายได้และแรงบันดาลใจให้กับอุตสาหกรรมที่เคยถูกมองว่ากำลังหดตัว
ข้อมูลล่าสุดจากสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) ระบุว่า “งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29” ปี 2567 ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม โดยมีผู้เข้าชมงานกว่า 1.4 ล้านคน สร้างยอดขายรวมกว่า 439 ล้านบาท ทะลุเป้าทั้งด้านจำนวนผู้เข้าร่วมและรายได้ พร้อมทำสถิติผู้เข้าชมสูงสุดในวันเดียวกว่า 170,000 คน
ก่อนหน้านี้ “งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 53” ซึ่งจัดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกก็มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1.2 ล้านคน และสร้างรายได้ถึง 403 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงกระแสความนิยมที่ต่อเนื่องของงานหนังสือในประเทศไทย
นอกจากรายได้จากการจำหน่ายหนังสือโดยตรงแล้วยังมีมูลค่าทางเศรษฐกิจทางอ้อมที่เกิดขึ้นรอบงาน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสิ่งพิมพ์ ออกแบบปก นักวาดอิสระ ไปจนถึงร้านอาหารและคาเฟ่ในพื้นที่จัดงาน ซึ่งหากรวมผลทางอ้อมและการหมุนเวียนต่อเนื่องหลังงานจบแล้ว คาดว่า มหกรรมหนังสือหนึ่งงานสามารถสร้างเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจกว่า 700–800 ล้านบาทต่อปี
มากไปกว่านั้นกระแสการเที่ยวงานหนังสือในไทยยังสะท้อนให้เห็นว่า "อุตสาหกรรมหนังสือ" เป็นส่วนหนึ่งของ "เศรษฐกิจสร้างสรรค์" (Creative Economy) ที่ต่อยอดไปสู่วงการภาพยนตร์ ซีรีส์ และเกม รวมถึงการขายลิขสิทธิ์แปลไปยังต่างประเทศ
โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาผลงานของนักเขียนไทยหลายเรื่องถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปสร้างเป็นซีรีส์ทั้งในและนอกประเทศ ขณะเดียวกันตลาด audiobook และ e-book ก็เติบโตต่อเนื่อง โดยมีแพลตฟอร์มไทยเข้ามาแข่งขันมากขึ้น สะท้อนถึงศักยภาพของตลาดออนไลน์ที่ยังขยายตัวได้อีกมาก
หลังจากได้รับผลกระทบหนักในช่วงการระบาดของโควิด-19 ธุรกิจหนังสือไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัวชัดเจนตั้งแต่ปี 2565 ทั้งในแง่รายได้และจำนวนผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเมื่อสามารถกลับมาจัดงานแบบ On-site ได้อีกครั้ง สำนักพิมพ์ใหญ่หลายแห่งเริ่มเปิด “หัวหนังสือย่อย” เพื่อจับแนวใหม่ๆ ที่แตกต่างจากเดิม ขณะที่จำนวนนักเขียนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดย PUBAT ระบุว่า ปัจจุบันมีสมาชิกสำนักพิมพ์ไทยกว่า 380 แห่ง เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด สะท้อนถึงการกลับมาของผู้เล่นรายเล็กและรายใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มสำนักพิมพ์แนววรรณกรรมเยาวชน การ์ตูน และนิยายวาย ซึ่งมีกลุ่มผู้อ่านรุ่นใหม่เป็นฐานสำคัญและเติบโตต่อเนื่อง
ผลสำรวจผู้เข้าชมงานหนังสือปีล่าสุดพบว่า กว่า 40% เป็นกลุ่ม Gen Z และวัยทำงานตอนต้น (18–35 ปี) ที่อ่านหนังสือเพื่อแรงบันดาลใจและวัฒนธรรม มากกว่าการอ่านเพื่อความรู้ทั่วไป กลุ่มนี้นิยมซื้อหนังสือเพื่อสะสม ฉลองการออกเล่มใหม่ของนักเขียนที่ชื่นชอบ และมักแชร์ต่อในสื่อโซเชียลอย่าง TikTok หรือ X (Twitter) ส่งผลให้หนังสือหลายเล่มกลายเป็นกระแสไวรัล ยอดขายพุ่งขึ้นหลายเท่าตัว
นอกจากนี้ยังพบว่าผู้เข้าชมหนึ่งคนใช้จ่ายเฉลี่ย 600–1,000 บาทต่อคน และมักกลับมาซื้อซ้ำทางออนไลน์หลังจบงาน แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมผสมผสานระหว่าง “อ่านในโลกจริง” และ “ซื้อในโลกดิจิทัล”
เมื่อพิจารณาช่องทางจําหน่ายหนังสือ ในปี 2568 มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทั้งการขายแบบออฟไลน์และออนไลน์ แต่แนวโน้มการจัดจําหน่ายผ่านออนไลน์จะมากกว่า เนื่องจากการเติบโตของช่องทาง Marketplace ควบคู่ไปกับการเพิ่มขึ้นของผู้ค้าหนังสือออนไลน์ขณะที่การจัดจําหน่ายผ่านร้านค้าดั้งเดิมมีแนวโน้มที่จะได้รับยอดขายจากการจัดจําหน่ายผ่านทางร้านหนังสือกลุ่มเชนสโตร์มากกว่าร้านหนังสือรายย่อย
นอกจากนี้การร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านมหกรรมหนังสือกลายเป็นช่องทางขายสําคัญที่สร้างยอดขายและกระแสการอ่านเป็นอย่างมาก นักอ่านขาประจํามักเฝ้ารอมหกรรมดังกล่าวเพื่อเลือกซื้อหนังสือเล่มใหม่ต่ออายุสมาชิก และสามารถเลือกสรรร้านค้าที่ผลิตคอนเทนต์แตกต่างกันได้หลากหลายร้านในคราวเดียว
ตัวเลขทั้งหมดนี้สะท้อนสัญญาณบวกของพฤติกรรมการอ่านและการใช้จ่ายของคนไทยในยุคดิจิทัล ซึ่งสวนทางกับข้อถกเถียงที่ว่า “คนไทยอ่านหนังสือน้อยลง” และยืนยันว่า “อุตสาหกรรมหนังสือไทย” ยังคงมีพลังทางเศรษฐกิจ พร้อมกลับมาฟื้นตัวอย่างมั่นคงหลังตลาดหดตัวกว่า 20% ในช่วงปี 2562–2564
“มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 30” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9–19 ตุลาคมนี้ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้มีการตั้งเป้ายอดขายกว่า 460 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5–10% จากครั้งก่อน จากการเข้าร่วมของสำนักพิมพ์และบริษัทชั้นนำกว่า 400 แห่ง รวมกว่า 900 บูธ
โดย PUBAT ได้ประเมินมูลค่ารวมของอุตสาหกรรมหนังสือไทยในปี 2568 ไว้ที่ 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์เดิมที่ 18,500 ล้านบาท และสูงกว่าปี 2567 ที่ประเมินไว้ 18,000 ล้านบาท จากกำลังซื้อที่เริ่มกลับมามีมากขึ้นสะท้อนจากยอดขายในงานมหกรรมหนังสือและสัปดาห์หนังสือ อีกทั้งยังมีแรงเสริมจากกิจกรรมการซื้อลิจสิทธิ์ระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนสำคัญที่ส่งผลต่อธุรกิจหนังสือไทย ได้แก่ การผลักดันให้หนังสือเป็นหนึ่งใน Soft Power ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเติบโตของวัฒนธรรมการอ่านและค่านิยมการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมคอนเทนต์ที่เชื่อมโยงผลงานหนังสือกับอุตสาหกรรมอื่นๆ เปิดช่องทางการบริโภคใหม่ที่จะกลายเป็นโอกาสใหม่ของธุรกิจหนังสือในฐานะ Multi-platform Content Provider
อย่างไรก็ตามสถานการณ์เศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจชะลอตัวหรือค่าครองชีพสูงขึ้น การใช้จ่ายด้านหนังสือมักถูกลดทอนก่อน ซึ่งแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังเต็มไปด้วยความท้าทายหลายประการ ทั้งความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจอันเป็ผลมาจากการดําเนินงานของรัฐบาล ตลอดจนการค้าระหว่างประเทศ
ทำให้ผู้ประกอบการยังต้องเผชิญแรงกดดันจาก ต้นทุนวัตถุดิบและโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนต่อเล่มของการผลิตหนังสือสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งปริมาณการพิมพ์ต่อครั้งของหนังสือลดลงจากเดิม ทําให้การเพิ่มประสิทธิภาพของต้นทุนผ่าน Economy of Scale ยังคงเป็นไปได้ยาก
ทั้งหมดนี้ล้วนชี้ให้เห็นว่า "อุตสาหกรรมหนังสือไทย" ยังคงมีศักยภาพทางเศรษฐกิจมหาศาล ทั้งในฐานะธุรกิจสร้างสรรค์และเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างความรู้ของผู้คน การกลับมาของงานมหกรรมหนังสือขนาดใหญ่จึงตอกย้ำว่า คนไทยยังอ่านหนังสือ ไม่แพ้ชาติใดในโลกและพร้อมจ่ายเพื่อเนื้อหาที่มีคุณค่า สนับสนุนผลงานคุณภาพจากนักเขียนและสำนักพิมพ์ในประเทศ รวมถึงผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในวงการสร้างสรรค์
ด้วยแรงสนับสนุนต่อเนื่องจากภาครัฐและเอกชน ทั้งนโยบายส่งเสริมการอ่าน การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล และโครงการ “เมืองหนังสือ” อุตสาหกรรมหนังสือไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกมากในอนาคตหลังจากนี้
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -