
ในวันที่โซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์ทำให้ใคร ๆ ก็เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ได้ จนสามารถต่อยอดสู่การเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคนในยุคออนไลน์ เป็นจุดเริ่มต้นให้ในปีนี้ Tellscore บริษัทด้านอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งแพลตฟอร์มของไทย ร่วมกับไทยประกันชีวิต และไอคอนสยาม จัดงาน “Thailand Influencer Awards 2025 by Tellscore” ภายใต้แนวคิด “Creators of Change – ครีเอเตอร์เปลี่ยนโลก พารอด”
แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีคำติดหูอย่างเช่น “อวสานอินฟลูเอนเซอร์” เกิดขึ้นมาจนสร้างความวิตกกังวลให้ตลาดนี้ แต่ตามงานวิจัย Future of content Creators in Thailand 2035 พบว่า ตลาดครีเอเตอร์ทั้งในไทยและทั่วโลกยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกปี เฉลี่ย 15-20% ต่อปี โดยในปี 2024 ที่ผ่านมาขนาดของตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์อยู่ที่ราว 45,000 ล้านบาท ในขณะที่ทั่วโลกอยู่ที่ราว 5.5 ล้านล้านบาท และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ตลาดนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 16 ล้านล้านบาท
สุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง Tellscore เผยว่า “แนวคิด Creators of Change ในปีนี้ เพื่อสะท้อนคุณค่าของครีเอเตอร์ในฐานะพลังขับเคลื่อนที่พร้อมจะยกมาตรฐานสู่ระดับภูมิภาค เพราะครีเอเตอร์ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตคอนเทนต์เพื่อความบันเทิง แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจ แหล่งความรู้ พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ที่ทำให้ผู้คนมองเห็นโอกาสใหม่ ๆ”
แต่แล้วความแตกต่างของปีนี้ที่เข้ามาเป็นความท้าทายของตลาดครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ คือ “AI” ยกตัวอย่างเนื้อหาที่เห็นบ่อยครั้งและเริ่มได้รับความนิยมในแบรนด์ต่าง ๆ คือ การนำ AI มาไลฟ์ขายสินค้า (Live Commerce) ซึ่ง AI Avatar สามารถทำงานได้ 24 ชั่วโมงโดยไม่เหนื่อย ส่วนนี้จะส่งผลกระทบต่อครีเอเตอร์ที่เป็นมนุษย์ ทำให้แข่งขันในด้านนี้ได้ยาก
อย่างไรก็ดี สุวิตา จรัญวงศ์ อธิบายต่อว่า “ปัจจุบันทำให้มีความกังวลด้าน AI ที่นำมาใช้ผลิตเนื้อหา โดยเฉพาะเรื่อง ‘จริยธรรม’ ยังคงมีการใช้ AI ในการสร้างเนื้อหาเหตุการณ์ที่ละเอียดอ่อนซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้ผู้คน และแม้ว่าบางเนื้อหาบางคนจะมองเป็นเรื่องตลก แต่กระทบกระเทือนจิตใจผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง”
ซึ่งตอนนี้กฎหมายด้าน AI ของไทยยังไม่มีประกาศใช้ จึงต้องอาศัยฐานกฎหมายเดิม อย่างเช่น กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค พ.ร.บ. โฆษณา และแนวปฏิบัติของสมาคมวิชาชีพสื่อต่าง ๆ ไปก่อน
สิ่งแรกที่ สุวิตา จรัญวงศ์ มองว่าเป็นทางรอดของครีเอเตอร์ในยุคนี้ คือ การอยู่ร่วมกับ AI ให้ได้ ใช้ AI เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่มองว่าเป็นสิ่งที่จะมาแทนที่
และเพื่อรับมือ ครีเอเตอร์อาจจะต้องทำ “Branding via Creators” ที่ไม่ใช่แค่การสร้างความแตกต่าง แต่ต้อง “บอกเล่าอย่างมี Human Connection” ว่าแบรนด์นำเสนออะไร สร้างคุณค่าด้านใดให้ผู้บริโภค และอินฟลูเอนเซอร์หรือครีเอเตอร์ที่มาร่วมสร้างคุณค่าดังกล่าวคือใคร กำลังทำอะไร และมีความเชื่อมโยงอย่างไรในคอมมูนิตี้นี้ ซึ่งจำเป็นต้องผสานกลยุทธ์ O2O Marketing (Online-to-Offline) ผ่านกิจกรรมจริง อย่างเช่น อีเวนต์ เวิร์กชอป หรือคอนเสิร์ต เพื่อทำให้แบรนด์ดิ้งแข็งแรง และเชื่อมโยงกับผู้ติดตามได้ลึกกว่าเดิม
เมื่อหนีไม่ได้ก็ต้องการเข้าร่วม ดังนั้น การใช้ AI ในการสร้างคอนเทนต์ก็ต้องทำอย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง AI Avatar ของตัวอินฟลูเอนเซอร์เอง เพื่อทำคอนเทนต์สั้น ๆ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือใช้ AI เป็นแรงเสริมในการสร้างแบรนด์ แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องสื่อสารอย่างโปร่งใส ระบุชัดเจนว่าเป็นคอนเทนต์จาก AI เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคสับสน ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณค่าและความน่าเชื่อถือในสายตาแบรนด์และผู้ติดตามได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ในเรื่องของแพลตฟอร์ม สุวิตา จรัญวงศ์ ระบุว่า TikTok ยังคงมาแรงต่อเนื่อง ขณะที่ YouTube พลิกเกมด้วย Long-form Content ตลอดจนจับมือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรุกตลาด Social Commerce ส่วน Instagram ก็ยังคงเหมาะกับคอนเทนต์ Trend Setter โดยเฉพาะฟอร์แมตคอนเทนต์ประเภท Story ที่สร้าง Engagement ได้สูง
ส่วนแพลตฟอร์มน่าจับตาคือ Lemon8 ที่ถูกใจ Gen Z ด้วยรูปแบบคอนเทนต์ง่ายและเร็ว และยังมีแพลตฟอร์มจากจีนที่กำลังเข้ามาในบ้านเรา อย่าง XiaoHongShu และกำลังเติบโตในอาเซียน ดังนั้น ครีเอเตอร์ที่ใช้ภาษาอังกฤษและจีนได้จะมีโอกาสขึ้นแท่นผู้ชนะ
ซึ่งนั่นก็คือการเชื่อมโยงไปถึงการขยายพื้นที่คอนเทนต์ไปสู่สากล สุวิตา จรัญวงศ์ กล่าวว่า ตอนนี้คอนเทนต์อย่างเช่น ท่องเที่ยว กำลังมีบทบาทอย่างมากในตลาดนอกประเทศไทย ดังนั้นจึงเป็นโอกาสอีกอย่างที่ความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยจะไปโลดแล่นในระดับโลกได้ เพียงแต่ต้องอาศัยความกล้าในการลงมือทำ และการปรับตัวให้ดีขึ้นด้านภาษา
นอกจากนี้ ยังโอกาสใหม่ที่น่าสนใจอีก คือ กลุ่มครีเอเตอร์ LGBTQ+ ในบริบท Rainbow Economy ซึ่งสะท้อนสังคมที่เปิดกว้างและยอมรับความหลากหลาย แถมยังชูจุดเด่นของประเทศไทย แบรนด์ที่ร่วมงานกับครีเอเตอร์กลุ่มนี้ไม่เพียงได้ประโยชน์เชิงธุรกิจ แต่ยังสร้าง Emotional Bonding และความเชื่อมั่นกับผู้บริโภค Gen Z และ Millennials ที่ให้ความสำคัญกับ ความน่าเชื่อถือ (Trust) ความเป็นจริง (Authenticity) และ การมีส่วนร่วม (Inclusion)
และบทบาทของ Tellscore เอง ก็จะยังคงทำหน้าที่เชื่อมโยงแบรนด์เข้ากับครีเอเตอร์เหมือนเดิม แต่จะขยายผลิตภัณฑ์จากการดูแลเฉพาะ Human Creator ไปสู่การเป็นตัวแทนและสนับสนุน AI Creator ด้วย
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney