
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) นำทีมผู้บริหารแถลงข่าวใหญ่ประจำปี 2568 กับเป้าหมายนำไทยเบฟสู่การเติบโตที่แข็งแกร่ง พร้อมสร้างสรรค์คุณค่าผ่าน PASSION 2030 ว่า นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 ภาวะเศรษฐกิจจะยังมีความท้าทายทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคยังคงเผชิญความท้าทายจากการเติบโตที่ชะลอตัว ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวและการบริโภคที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
สำหรบทิศทางเศรษฐกิจของไทยเมื่อมองสัญญาณตั้งแต่เดือนต.ค.เป็นต้นไป แนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น โดยรัฐบาลอนุทินเตรียมเดินหน้ามาตรการ “คนละครึ่ง” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ในความจริงแล้วทุกรัฐบาลต่างมีเครื่องมือและรูปแบบของการอัดงบเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือทิศทางและเสถียรภาพทางการเมืองที่จะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจในระยะยาว ท่ามกลางการแข่งขันในภูมิภาค ปัจจุบัน ไทยยังคงรั้งอันดับสองของอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย หากเกิดความผิดพลาดหรือสะดุดอาจทำให้เสียจังหวะการพัฒนา แต่หากรักษาความมั่นคงและต่อยอดได้อย่างถูกทิศทาง ไทยมีศักยภาพจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำ
โดยผลประกอบการปีบัญชีของบริษัทในช่วง 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2568 ไทยเบฟมีรายได้จากการขายรวม 258,621 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้การบริโภคจะชะลอตัวลง และถึงแม้จะมีการลงทุนในตราสินค้าและการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามแผนงานที่วางไว้เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ตราสินค้าต่าง ๆ แต่กลุ่มมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) ลดลง 4% จากปีก่อน เป็น 45,026 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจหลัก สุรา ทำรายได้ 92,778 ล้านบาท EBITDA ลดลงเป็น 22,161 ล้านบาทเนื่องจากค่าใช้จ่ายการตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนเพื่อเสริมแกร่งตราสินค้าและสนับสนุนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ส่วนธุรกิจต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงเมียนมา ยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และจะเน้นสร้างแบรนด์พรีเมียม แบรนด์ PRAKAAN และ ZATO
ธุรกิจเบียร์ ทำรายได้ 96,497 ล้านบาท EBITDA 12,573 ลบ. เพิ่มชึ้น 4.8% จะเน้นการทำตลาดเสริมแบรนด์ช้าง ในไทย, ซาเบโก้ ในเวียดนามโดยเน้นนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์พรีเมียม และขยายช่องทางขาย
ส่วนเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ทำรายได้ 49,326 ล้านบาท ลดลง 0.7% EBITDA 8,718 ล้าน หรือลดลง 6.3% โดยจะตอกย้ำแบรนด์หลัก โออิชิ, คริสตัล และ เอส สำหรับธุรกิจอาหาร ทำรายได้ 16,563 ล้านบาท ลดลง 1.4% EBITDA ลดลงเหลือจำนวน 1,578 ล้านบาท โดยจะมุ่งเดินหน้าขยายสาขาใหม่, พัฒนาเมนูและเน้นความยั่งยืน
นายฐาปน กล่าวว่า ในยุคปัจจุบันทางไทยเบฟต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงและปรับตัวตลอดเวลา ด้วยสภาพทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทางไทยเบฟได้วาง 2 แกนหลักเพื่อการเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างยั่งยืนและมั่นด้วย 2 แกนหลักคือ 1.Reach Competitively ขยายการเข้าถึงผู้บริโภคทุกช่องทาง ด้วยต้นทุนแข่งขันได้ 2.Digital for Growth ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลยกระดับประสิทธิภาพและการเชื่อมโยงผู้บริโภค–คู่ค้า
ซึ่งการดำเนินงานเหล่านี้ทำให้รากฐานของไทยเบฟแข็งแรงยิ่งขึ้น สามารถรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจและการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอกย้ำบทบาทผู้นำตลาด พร้อมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ในทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อส่งต่อคุณค่าและผลประโยชน์สู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายในระยะยาว
สำหรับทิศทางการลงทุนในของไทบเบฟในปีหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 9,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสุรา 2,000 ล้านบาท เบียร์ 2,0000 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนฝั่งเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ยังสูงอยู่ เพราะต้องใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนฟาร์มโคนม แบ่งเป็นธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 4,000 ล้านบาทและธุรกิจอาหาร 1,000 ล้านบาท
นายฐาปน กล่าวว่า สำหรับความขัดแย้งในกัมพูชานั้นทางไทยเบฟได้ทำตลาดผ่านธุรกิจเบียร์โค ยอมรับว่าช่วงนี้ได้รับผลกระทบบ้างสำหรับเครื่องดื่มช้าง แต่ตลาดกัมพูชาเป็นตลาดเล็กมาก และที่กระทบเป็นเรื่องการเมืองมากกว่า การเติบโตจึงต้องมองในระยะยาว ที่ต้องค่อย ๆ ปูพื้นฐานและสร้างความแข็งแรงต่อไป
ด้าน นายไมเคิล ไชน์ ฮิน ฟา ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเบียร์ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เบียร์โค ลิมิเต็ด กล่าวว่า ได้มีการลงทุนสร้างโรงงานเบียร์แห่งใหม่ที่ จังหวัดกันดาล กัมพูชา ใกล้สนามบินนานาชาติแห่งใหม่ มีกำลังการผลิต 50 ล้านลิตรต่อปีมูลค่าการลงทุน 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับตลาดกัมพูชาที่มีการดื่มเบียร์เป็นอับดับหนึ่งของภูมิภาคต่อหัวกว่า 50 ลิตรต่อคนต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยการบริโภคเบียร์ในไทยถึงสองเท่า สะท้อนโอกาสเติบโตของตลาดกัมพูชาในระยะยาว
โรงงานแห่งใหม่นี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 2 เดือนข้างหน้า และจะเป็นก้าวสำคัญของไทยเบฟในการสร้างรากฐานในตลาดกัมพูชา เช่นเดียวกับความสำเร็จในเมียนมา ที่เริ่มต้นเมื่อปี 2019 ด้วยกำลังการผลิต 50 ล้านลิตร และขยายสู่ 150 ล้านลิตรต่อปี พร้อมยอดขายทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ล่วงหน้าถึง 5 ปี ส่วนเหตุการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ตนมองเพียงเป็นแค่ระยะสั้นมากกว่า