
ปัจจุบันกระแส Pet Economy เติบโตอย่างก้าวกระโดดทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวและการบริการที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ “Pet-Friendly Travel” หรือการท่องเที่ยวแบบเปิดรับสัตว์เลี้ยงที่ไม่ได้เป็นเพียงจุดขายของธุรกิจโรงแรม แต่ได้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มพูนผลกำไรขนาดมหาศาล ตั้งแต่โรงแรมระดับทั่วไปจนถึงรีสอร์ทระดับลักชัวรี
โดยหนึ่งในโรงแรมที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านนี้ในประเทศไทย คือ Mövenpick (เมอเวนพิค) ที่ลงทุนปรับโฉมรีสอร์ทเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวและสัตว์เลี้ยงครบวงจร โดยล่าสุดเปิดตัว “The Sanctuary" สวนสำหรับสัตว์เลี้ยงภายในโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในหัวหินรวมถึงในประเทศไทย
Thairath Money พูดคุยกับ พอล แปร์โรแตต์ (Paul Perrottet) General Manager Mövenpick Asara Resort & Spa Hua Hin แบรนด์ลักชัวรีรีสอร์ตระดับโลกในกลุ่ม Accor Group ที่ปัจจุบันให้บริการอยู่กว่า 130 แห่งใน 40 ประเทศทั่วโลก ถึงกลยุทธ์ปรับโฉมรีสอร์ท ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เกินคาด พร้อมด้วยวิสัยทัศน์ในการพัฒนา Mövenpick Asara Resort & Spa Hua Hin ให้กลายเป็น "โรงแรม Pet-Friendly Luxury อันดับหนึ่งในประเทศไทย”
พอล ฉายภาพให้เห็นว่ากระแสการเลี้ยงสัตว์เริ่มชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงโควิด-19 หลายครอบครัวหันมามีสุนัขหรือแมวแทนการมีลูกและพร้อมจะทุ่มเททั้งเวลาและเงินเพื่อดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว ซึ่งภายหลังได้มีการให้นิยามของ เทรนด์ “Pet Humanization” ในประเทศไทยที่กลุ่มผู้มีสัตว์เลี้ยงหันมาเลี้ยงสัตว์เสมือนลูกหรือสมาชิกครอบครัวมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เจ้าของยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อสัตว์เลี้ยงค่อนข้างสูง ทั้งด้านอาหาร ด้านสุขภาพ รวมถึงการพาสัตว์เลี้ยงออกไปท่องเที่ยวด้วยกัน
ทั้งนี้ตลาด Pet Economy ระดับโลกเติบโตเร็วอย่างน่าจับตา โดยปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เพียงแฟชั่นชั่วคราว แต่เป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างจริงจัง ข้อมูลจาก Euromonitor ชี้ว่ามูลค่าอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงพุ่งแตะกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 9 ล้านล้านบาท ภายในปี 2030 ขณะที่ในเอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่โตเร็วที่สุด
โดย “ไทย” เองก็ติดอยู่ในลิสต์ประเทศที่เจ้าของยอม “จ่ายไม่อั้น” เพื่อความสุขของสัตว์เลี้ยง สอดคล้องกับข้อมูลของ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี ที่ได้คาดการณ์มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงไทย ขยายตัวกว่า 13% แตะ 9.2 หมื่นล้านบาทในปี 2025
พอล กล่าวว่า สำหรับธุรกิจรีสอร์ตหรู Pet Economy ไม่ใช่แค่ส่วนขยายเล็กๆ แต่เป็น Value Chain ใหม่ที่เข้ามาสอดประสานกับธุรกิจโรงแรม Hospitality ได้อย่างลงตัว ลูกค้ากลุ่ม Luxury Traveler วันนี้ไม่ต้องการแค่ห้องพักดีหรือวิวสวย แต่ต้องการประสบการณ์ร่วมกับสัตว์เลี้ยง ซึ่งนั่นคือโอกาสใหญ่ของธุรกิจ ซึ่งนำไปสู่การปรับโฉมทั้งกลยุทธ์ธุรกิจและการออกแบบประสบการณ์ที่ส่งผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
หากย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อน โรงแรมหรูส่วนใหญ่ในไทยมักขึ้นป้าย “No Pets Allowed” ทันทีที่หน้าประตู แต่ปัจจุบันบริบทนั้นเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน และ Mövenpick ก้าวไปไกลกว่านั้น ด้วยการออกแบบประสบการณ์เชิง Wellness และ Holistic Experience โดยเริ่มจากการมองว่าสัตว์เลี้ยง คือ ลูกค้าคนหนึ่ง
พอล ชี้ให้เห็นว่า สัญญาณการเติบโตที่วัดได้อย่างชัดเจน ได้แก่ Occupancy Rate ของห้องพัก Pet-Friendly ซึ่งเฉลี่ยสูงถึง 75–80% แม้จะตั้งราคาสูงกว่าห้องปกติ 15–25% หรืออีกสัญญาณอย่างการใช้จ่ายต่อทริปที่มากขึ้น เพราะลูกค้ามักจองบริการเสริม เช่น อาหารสัตว์ระดับพรีเมียม สปา หรือ Workshop ที่ทำร่วมกับสัตว์เลี้ยง โดยตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า Segment นี้กำลังเติบโตต่อปีแบบ “Double-digit”
นอกจากนี้ไม่เพียงแค่ในรีสอร์ตของเราเท่านั้น แต่ในภาพรวมตลาด Pet-Friendly Travel ของไทยมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 20–25% ต่อปี ซึ่งเร็วกว่าตลาดท่องเที่ยวโดยรวมเกือบสองเท่า โดยข้อมูลจากสมาคมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระบุในทิศทางเดียวเช่นกันว่า ช่วงสามปีที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวที่พาสัตว์เลี้ยงเข้าพักในโรงแรมหรูเพิ่มขึ้นกว่า 120% โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ในกรุงเทพฯ ทั้งคู่รักและวัยกลางคน รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ต้องการ “Pet-Inclusive Experience”
โดย พอล กล่าวเสริมว่า ลูกค้ากลุ่มนี้มีกำลังซื้อและพร้อมเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงเหมือนลูกคนหนึ่ง มีความจงรักภักดีสูงและเชื่อมโยงกันในคอมมูนิตี้อย่างแน่นแฟ้น และที่สำคัญมีการบอกต่ออย่างกว้างขวางถึงประสบการณ์ที่ได้รับจากบริการนั้นๆ ส่งผลให้มีอัตราลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำสูงมาก
พอล เล่าถึงกลยุทธ์และการปรับโฉมรีสอร์ตให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับ Pet Parents ทั้งไทยและชาวต่างชาติว่า Mövenpick เริ่มทดลองเจาะตลาด Pet Tourism อย่างจริงจังเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยเริ่มจากการทดลอง Phase 1 ที่เปิดให้สุนัขเข้าพักในพูลวิลล่าส่วนตัว โดยใช้งบลงทุนเพียง 100,000 บาท แต่ผลลัพธ์เรียกได้ว่าเกินความคาดหมาย “เพียง 4 เดือน (พฤษภาคม-สิงหาคม) โรงแรมสร้างรายได้จากเซกเมนต์นี้กว่า 2.5 ล้านบาท โดยเฉพาะเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียวทำรายได้เกิน 1 ล้านบาท และที่สำคัญคือโรงแรมสามารถคืนทุน ภายในเวลาเพียง 5 วันเท่านั้น”
โดยจุดแข็งสำคัญของ Mövenpick Asara Resort & Spa Hua Hin คือ ทำเลและพื้นที่ของโรงแรมที่ถูกปรับให้รองรับการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างแท้จริง ทั้งสวนขนาดใหญ่และพูลวิลล่าส่วนตัวที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มพรีเมียม โดยเฉพาะการมีพื้นที่ส่วนกลางที่ต้อนรับสัตว์เลี้ยงอย่างเป็นมิตร ซึ่งแตกต่างจากโรงแรมทั่วไปที่มักมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่และการอนุญาตให้สัตว์เลี้ยงเข้าใช้บริการ
ความสำเร็จนี้นำไปสู่ Phase 2 ที่กำลังดำเนินการ ได้แก่ การเปิด “The Sanctuary” Dog Park ขนาดใหญ่ที่สุดในหัวหินและใหญ่ที่สุดสำหรับโรงแรมในไทย รวมถึง “Pet Private Spa” สปาส่วนตัวสำหรับสุนัข พร้อม Grooming Lounge แบบครบวงจ ด้วยเงินลงทุนราว 320,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะคืนทุนได้ภายใน 15-30 วัน
ทั้งนี้ผลลัพธ์ทางธุรกิจยังสะท้อนโดยตรงไปที่รายได้รวมของโรงแรม การเปิด Pet-friendly Segment ทำให้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคืน (Average check per night) เพิ่มขึ้นถึง 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าแสดงให้เห็นกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าพรีเมียมที่มาพร้อมสัตว์เลี้ยง
นอกจากนี้โรงแรมยังคงรักษาสมดุลธุรกิจหลักไว้อย่างมั่นคง ปัจจุบัน 50% ของรายได้มาจากนักท่องเที่ยวไทยที่เหลือกระจายไปในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ การพัฒนา Pet-friendly Services จึงเป็นการเพิ่ม Value Added ให้กับการเข้าพักที่ไม่กระทบกับกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้มีสัตว์เลี้ยง พอลกล่าว
เป้าหมายต่อไปของ Mövenpick คือ การก้าวขึ้นเป็น “The Best Pet-Friendly Luxury อันดับหนึ่งในประเทศไทย” ภายในปีหน้า พร้อมทั้งวางแผนสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ เช่น การแข่งขันสุนัข และ แฟชั่นโชว์สำหรับสัตว์เลี้ยง เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับคอมมูนิตี้
พอล กล่าวว่า ความสำเร็จของ Mövenpick คือ การเปิดรับตลาดใหม่ที่กำลังเติบโต พร้อมด้วยกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความจริงใจในการดูแลสัตว์เลี้ยง ซึ่งต้องโฟกัสให้ได้ถึง “ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์เลี้ยง” ที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ปรากฏการณ์ Pet-friendly Travel สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวและพฤติกรรมผู้คนที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่สัตว์เลี้ยงเป็นเพียงผู้เฝ้าบ้าน วันนี้พวกเขากลายเป็น “สมาชิกครอบครัว” ที่เจ้าของพร้อมพาไปทุกที่ และการเปลี่ยนแปลงนี้กำลังสร้างโอกาสให้ธุรกิจ Hospitality ไทยอย่างมหาศาล
คำถามที่น่าสนใจ คือ เมื่อสัตว์เลี้ยงกลายเป็น “นักท่องเที่ยว” เต็มตัว ประเทศไทยจะสามารถคว้าโอกาสนี้และยืนหนึ่งในฐานะ Pet-friendly Luxury Destination ระดับโลกได้หรือไม่?
สำหรับเขาสิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่การสร้างบริการตอบโจทย์ แต่คือการยกระดับมาตรฐานของการท่องเที่ยวไทยให้เป็น Pet-Friendly Destination ในระดับโลก โดยเขาเชื่อว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เมืองท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ต เกาะสมุย เชียงใหม่ หรือหัวหิน ควรมีมาตรฐาน Pet-friendly ที่เทียบเท่าระดับโลก และนั่นจะยิ่งทำให้ไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติหลังจากนี้
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -