มัตจะขึ้นราคาโหด! คาดตลาดโลกโตแตะ 7 พันล้านใน 3 ปี แต่โลกร้อน-ดีมานด์ล้นกำลังบีบญี่ปุ่นผลิตไม่ไหว

Business & Marketing

Marketing & Trends

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

มัตจะขึ้นราคาโหด! คาดตลาดโลกโตแตะ 7 พันล้านใน 3 ปี แต่โลกร้อน-ดีมานด์ล้นกำลังบีบญี่ปุ่นผลิตไม่ไหว

Date Time: 4 ก.ย. 2568 19:17 น.

Video

อย่ากลัว! วิกฤติใหญ่ยังไม่เกิด หาโอกาสลงทุน กับ กวี ชูกิจเกษม | Thairath Money Night Stand EP.21

Summary

ตลาดมัตจะโลกปี 2025 คาดแตะ 5.54 พันล้านดอลลาร์ และจะโตถึง 7 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 แต่ ญี่ปุ่น กำลังเผชิญกับคลื่นความร้อนและความแห้งแล้ง โดยเฉพาะใน เกียวโต–อุจิ แหล่งมัตจะคุณภาพสูง ทำให้ "มัตจะ" ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ จับตาผลกระทบผู้ผลิต-ผู้ผลิต-ผู้บริโภค

Latest


ช่วงปีที่ผ่านมาพลังโซเชียลมีเดียดันให้ ‘กระแสมัตจะ’ ฟีเวอร์จนถึงจุดที่มัตจะ ‘ขาดแคลน’ ไปทั่วโลก อย่างไรก็ตามแม้กระแสจะเงียบลงไปบ้างในช่วงนี้ แต่เรายังคงเห็นร้านอาหารและเครื่องดื่มทั่วโลกโปรโมทเมนูมัตจะอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหมู่นักดื่มรุ่นใหม่ที่ยกให้ ‘มัตจะ’ เป็นไลฟ์สไตล์ เป็นทางเลือกใหม่ของสายคาเฟ่ และเป็นสัญลักษณ์ของสุขภาพระดับโลก

ความนิยมพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน สะท้อนชัดผ่านตัวเลขคาดการณ์ที่ระบุว่า ตลาดมัตจะทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 5.54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 และจะเติบโตแตะ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 7-8% จนถึงปี 2033 จากเทรนด์สุขภาพและความนิยมในกลุ่ม Gen Z สอดคล้องไปกับข้อมูลจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ระบุอีกว่า ปีที่แล้วการส่งออกชาเขียวยังเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าในรอบสิบปี โดยมีมูลค่าสูงถึง 36.4 พันล้านเยนหรือราว 247 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ความต้องการสูงเกินกำลังผลิต ทำผู้ผลิตญี่ปุ่น จ่อขึ้นราคา-ระงับขาย

ผู้บริโภคหลายคนเริ่มบ่นว่าพวกเขาหาซื้อมัตจะไม่ได้ โดยเฉพาะมัตจะเกรดพิธี (Ceremonial grade) หรืออาจสังเกตถึงความผิดปกติ โดยเฉพาะราคาที่สูงขึ้นผิดปกติหรือการส่งมอบล่าช้า แต่รู้หรือไม่ว่าความต้องการที่พุ่งแรงกว่าใครของมัตจะกำลังสร้างความท้าทายให้กับห่วงโซ่อุปทานในญี่ปุ่นที่เริ่มสั่นคลอนจากแรงกดดันทั้งสภาพอากาศและเศรษฐกิจ

หัวใจของปัญหาเกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นแหล่งผลิตมัตจะคุณภาพสูงที่สำคัญที่สุดในโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตคลื่นความร้อน ในปีนี้ญี่ปุ่นเจออากาศร้อนและแห้งกว่าปกติ โดยเฉพาะในพื้นที่‘เกียวโต’ ศูนย์กลางของมัตจะอุจิ (Uji) ที่ยังใช้วิธีปลูกแบบดั้งเดิม มีผลผลิตลดลงอย่างรุนแรงในปีนี้

ข้อมูลจาก Japan Tea Central Association รายงานว่า ในปี 2024 ญี่ปุ่นเก็บเกี่ยว เท็นฉะ (Tensha) ได้ 5,336 ตัน สูงกว่าปี 2014 ถึง 2.7 เท่า ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ในปี 2025 ผลผลิตรอบแรกในเกียวโต ผลิตได้เพียง 460 ตัน หรือเพียง 87% ของปริมาณในปี 2024

จากนั้นเมื่อผลผลิตลดลงอย่างมากในเวลาเดียวกับที่ความต้องการทั่วโลกพุ่งสูง จึงเกิดแรงกดดันทางเศรษฐศาสตร์ ทำให้ราคาประมูลจึงพุ่งสูง โดนราคาดิบของเท็นฉะที่เกียวโตพุ่งขึ้นถึง 170% จากปีก่อน และราคาที่สูงนี้กำลังส่งผลเป็นลูกโซ่ไปถึงค้าส่ง ร้านค้า และคาเฟ่

แน่นอนว่าท่ามกลางวิกฤตคลื่นความร้อนที่ไม่เป็นมิตรกับการปลูกกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ร่วมกดดันให้ราคามัตจะ (Matcha Powder) เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์และยังมีแนวโน้มว่าจะปรับราคาขึ้นอีก ตลอดจนอุปกรณ์อื่นๆ เช่น แก้วชา อุปกรณ์การชงที่มีราคาแพงขึ้นตามๆ กัน

ราคาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ นี่มันผงทองแล้ว!

ทั้งนี้ความขาดแคลนเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของเรื่อง ราคาที่พุ่งสูงก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ JA Kyoto ชี้ว่าราคาเท็นฉะรอบแรกในเกียวโตปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 5,500 เยนต่อกิโลกรัม (1,200 บาทต่อกิโลกรัม) ในปี 2024 เป็น 14,333 เยนต่อกิโลกรัม (3,120 บาทต่อกิโลกรัม) ในปี 2025 หรือเพิ่มขึ้นถึง 265%

ขณะที่ Global Japanese Tea Association รายงานว่า ในงานประมูลใบชาครั้งแรกหลังฤดูเก็บเกี่ยวในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ราคาประมูลเท็นฉะครั้งแรกของปีในเกียวโต มีราคาประมูลโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 8,235 เยนต่อกิโลกรัม (1,790 บาทต่อกิโลกรัม) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยปีที่แล้วถึง 1.7 เท่า และทำลายสถิติเดิม 4,862 เยนต่อกิโลกรัม (1,060 บาทต่อกิโลกรัม) ในปี 2016 อย่างขาดลอย

รายงานระบุว่า ร้านมัตจะหลายแห่งในญี่ปุ่นรายงานว่าราคามัตจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวภายในปีเดียว มากไปกว่านั้นผู้ผลิตชารายใหญ่ของญี่ปุ่นหลายเจ้าเตรียมปรับราคาผลิตภัณฑ์มัตจะบางรายการขึ้นเป็นสองเท่า นำโดยยักษ์ใหญ่ชาเขียวอย่าง “Ito En” ที่เตรียมปรับขึ้นราคาสินค้าชาเขียวและมัตจะ50%-100% ตั้งแต่กันยายนนี้ สะท้อนแรงกดดันต้นทุนทั้งวัตถุดิบและค่าแรง นอกจากนี้ยังพบว่าบางร้านยังเริ่มกำหนดโควตาซื้อเพื่อลดการกักตุนและป้องกันการนำไปขายเกินราคา แม้มัตจะยังคงเป็นของฝากยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวก็ตาม

อย่างไรก็ตามเกษตรกรจำนวนหนึ่งปรับตัว โดยหันมาผลิตเท็นฉะ มากกว่าชาประเภทอื่น เช่น เกียวคุโระ หรือ เซ็นฉะ แม้จะตอบโจทย์ความต้องการมัตจะได้ แต่ก็ทำให้ปริมาณรวมจำกัดในระยะสั้น ขณะเดียวกัน ค่าน้ำมัน บรรจุภัณฑ์ ปุ๋ย และค่าแรงล้วนเพิ่มขึ้น เมื่อรวมกับค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง ยิ่งทำให้ต้นทุนการผลิตสูง โดยเฉพาะชาออร์แกนิกและเก็บมือ

วิกฤตครั้งนี้สะท้อนความเปราะบางจากการพึ่งพาเพียงภูมิภาคเดียว แม้ญี่ปุ่นพยายามปลูกไร่ชาใหม่ แต่กว่าต้นชาจะโตและเก็บเกี่ยวได้ต้องใช้เวลาราว 5 ปี ทำให้ไม่มีทางออกในระยะสั้น หรือในฝั่งของประเทศอื่นอย่างจีนหรือไต้หวันอาจฉวยโอกาสผลิตชาแนวมัตจะมากขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าคุณภาพและรสชาติจากภูมิภาคเก่าแก่อย่าง อุจิ หรือ เกียวโต ซึ่งยังยากที่จะลอกเลียนแบบ

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้บรรดาผู้ประกอบการจับตาใกล้ชิดว่า ผลกระทบจากผลผลิตปี 2024 จะยังคงต่อเนื่องและทำให้ปี 2025 กลายเป็นปีที่ท้าทายสำหรับทั้งผู้บริโภคและธุรกิจ เพราะนี่ไม่ใช่การขึ้นราคาชั่วคราว แต่เป็น “การปรับฐานใหม่” ของตลาดมัตจะทั้งระบบ ซึ่งนั่นหมายความว่า ยุคของมัตจะราคาย่อมเยาอาจสิ้นสุดลงแล้วนั่นเอง

ความท้าทายของธุรกิจและผลกระทบต่อผู้บริโภค

แม้ตลาดมัตจะจะถูกคาดการณ์ว่าอาจเติบโตแตะ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในอีก 3 ปี แต่ธุรกิจต้องฝ่าคลื่นความผันผวนราคาที่รุนแรงในปัจจุบัน คาเฟ่และผู้ผลิตอาหารต้องเลือกระหว่างแบกรับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นจนกระทบกำไร หรือผลักภาระไปยังลูกค้าและเสี่ยงยอดขายลดลง หรืออาจนำไปสู่การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ เช่น เมนูผสมเกรดชา การลดขนาดเสิร์ฟ หรือการวางตำแหน่งมัตจะเป็นวัตถุดิบหรูหราแทนการเป็นเมนูทั่วไป

ด้านเกษตรกรและผู้ค้าชากำลังลงทุนพัฒนาแปลงชา ปลูกใหม่ และใช้เทคโนโลยีเพิ่มผลผลิตโดยยังรักษาคุณภาพ นำไปสู่การปรับตัวของห่วงโซ่อุปทาน ด้านผู้บริโภคอาจต้องเผชิญราคาเมนูมัตจะที่สูงขึ้นทั้งในคาเฟ่และซูเปอร์มาร์เก็ต และอาจทำให้ผู้บริโภคบางส่วนอาจหันไปใช้มัตจะเกรดต่ำที่มีรสขมมากขึ้น หรือเปลี่ยนไปดื่มชาเขียวชนิดอื่นแทน ซึ่งอาจกระทบต่อความเป็นผู้นำของมัตจะในโลกสุขภาพ

มัตจะราคาพุ่งจากแรงกดดันด้านห่วงโซ่อุปทาน คือ กรณีศึกษาสำคัญที่ชี้ให้เห็นความเปราะบางของซัพพลายเชนอาหารโลก และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของภาวะโลกร้อน ตลอดจนความกังวลด้านความยั่งยืนในภูมิภาคเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม คำถามคือ กระแสมัตจะจะทนทานต่อราคาที่พุ่งสูงได้หรือไม่? หรือสุดท้ายมันจะย้อนกลับไปเป็นสินค้า “หรูหรา” สำหรับคนบางกลุ่มเหมือนในอดีต? คำตอบจะค่อย ๆ ปรากฏในคาเฟ่และครัวทั่วโลกหลังจากนี้


ที่มาข้อมูล CNBC , GrandViewResearch , Ujimatchatea , gjtea , inttea 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -   



Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ