
นายธนโชติ บุญมีโชติ กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจกุ้ง บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ยักษ์ใหญ่ธุรกิจอาหารทะเลของไทย เปิดเผยว่า นโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่จัดเก็บภาษีนำเข้ากุ้งไทย 19% แม้จะสร้างแรงกดดันต่อต้นทุน แต่กลับอาจเป็นโอกาสเชิงการแข่งขันที่สำคัญในการคว้าส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ กลับคืน
"เมื่อดูภาพรวมแล้ว ไทยยังอยู่ในสถานะที่ดีกว่าคู่แข่งหลายราย โดยอินเดียซึ่งเป็นผู้ส่งออกกุ้งรายใหญ่ไปสหรัฐฯ ถูกกำหนดภาษีสูงถึง 50% ขณะที่เวียดนามต้องแบกภาระทั้งภาษีนำเข้าอัตรา 20% และมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping) สูงถึง 35% พร้อมกัน ทำให้การส่งออกกุ้งจากสองประเทศนี้เข้าสหรัฐฯ ทำได้ยากขึ้นมาก” นายธนโชติกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ไทยเคยเป็นเจ้าตลาดกุ้งโลกในช่วง 2550-2555 แต่หลังโดนโรคระบาดกุ้งตายด่วน (EMS) โจมตีฟาร์มกุ้งตั้งแต่ปี 2555 ทำให้การผลิตตกมาเป็นอันดับ 6 ของโลกในปี 2561 และมีส่วนแบ่งเพียง 6% เท่านั้น ขณะที่คู่แข่งอย่างเอกวาดอร์กลายเป็นเบอร์ 1 โลกผลิต 1.3-1.4 ล้านตันต่อปี เทียบกับไทยที่ผลิตได้แค่ 0.27 ล้านตัน (2567) อินเดียและเวียดนามก็แซงหน้าไทยไปแล้ว
โดยในตลาดสหรัฐ ไทยสูญเสียส่วนแบ่งให้อินเดีย 37%, เอกวาดอร์ 21%, อินโดนีเซีย 17%, และเวียดนาม 11% แต่ถึงอย่างนั้น สหรัฐฯ ยังคงเป็นลูกค้าใหญ่ที่สุดของไทย (ปี 2567 ส่งออก 27,287 ตัน มูลค่า 10,813 ล้านบาท) ตามด้วยญี่ปุ่นและจีนที่มีส่วนแบ่งประมาณ 20% ของการส่งออกกุ้งไทย
นายธนโชติ กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยนมีธุรกิจกุ้งและอาหารแช่แข็งทั่วโลกมูลค่า 36,000 ล้านบาทต่อปี โดยแบ่งเป็นธุรกิจกุ้งมูลค่า 14,000 ล้านบาท สหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดส่งออกกุ้งใหญ่สุด คิดเป็นยอดขาย 4,500 ล้านบาท รองลงมาคือตลาดในประเทศ 4,000 ล้านบาท ตามด้วยญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่น่าสนใจคือตลาดในประเทศเพิ่งแซงญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นอันดับสอง สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่หันมาซื้ออาหารแช่แข็งราคาประหยัดบริโภคที่บ้านมากขึ้น
ก่อนภาษีทรัมป์จะมีผลบังคับใช้และอลุโลมจัดเก็บภาษีนำเข้า 10% บริษัทมีการเร่งปิดออเดอร์จำนวนมากกับลูกค้าสหรัฐฯ ทำให้ราคากุ้งในประเทศยังทรงตัวแข็งแกร่ง ส่วนเมื่อภาษีเริ่มมีผลบังคับใช้จริง กลุ่มลูกค้าร้านอาหารจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า เพราะต้นทุนอาหารโดยรวมเพิ่มขึ้นเพียง 9% แต่กลุ่มค้าปลีกอาจต้องลดกำไรเพื่อประคองราคาขาย
"เราเชื่อว่าการรีบาวด์ของตลาดกุ้งไทยมีความเป็นไปได้ เพราะลูกค้ารายใหญ่ในอเมริกากำลังมองหาทางเลือกทดแทนอินเดียและเวียดนาม และไทยมีชื่อเสียงด้านคุณภาพและความน่าเชื่อถือมายาวนาน และเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง บริษัทกำลังปรับกลยุทธ์หลายทาง ทั้งขยายตลาดใหม่ในจีน ยุโรป และเอเชีย รวมถึงพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์คิวเฟรช (QFresh) ที่เน้นความคุ้มค่า และเจาะตลาดในประเทศที่แม้ธุรกิจร้านอาหารชะลอตัวลง 10-30% แต่ตลาดค้าปลีกและอาหารง่ายๆ อย่างสุกี้ กะเพรา ชาบู กลับเติบโต 10%” นายธนโชติ กล่าว
นางสาวพนิตตา มิ่งสูงเนิน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด คิวเฟรช ระบุว่า ตั้งเป้ายอดขายเติบโตจาก 300 ล้านบาทเป็น 500 ล้านบาทในปี 2571 โดยใช้ 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การพัฒนาสินค้าบนฐานข้อมูลผู้บริโภค การขยายฐานลูกค้าผ่านดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ และการสร้างนวัตกรรมร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ นอกจากนี้ คิวเฟรชยังปรับกลยุทธ์รับกระแสสตรีทฟู้ด ที่กลับมาได้รับความนิยม ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Ready to Cook และ Value-Added ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ เน้นความสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่าย พร้อมฉลองครบรอบ 8 ปี กับแคมเปญ Sealebration รวมมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท มอบโปรโมชันและกิจกรรมลุ้นของรางวัล ระหว่างวันที่ 1 ก.ย.– 30 พ.ย. 68
พร้อมกับไฮไลต์ อีเวนต์พิเศษ “8th Birthday Sealebration” วันที่ 26 ส.ค.นี้ ณ ลาน Eden 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พบคอนเสิร์ตจากศิลปิน LYKN และเมนูพิเศษจาก 8 ร้าน Premium Street Food ที่ร่วมสร้างสรรค์ด้วยวัตถุดิบจากคิวเฟรช