
มิสเตอร์คริสโตเฟอร์ มอสซ์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มะนาว ซอฟต์แวร์ จำกัด หรือ Manao Software เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจว่า ปัจจุบันคำว่า Digital Nomad เป็นคำที่ได้ยินกันทั่วไปในยุคนี้ แต่เมื่อปี 2007 ตอนที่ผมก่อตั้ง Manao Software หรือ https://manaosoftware.com ซึ่งคำว่า Digital Nomad ยังไม่เป็นที่รู้จักด้วยซ้ำ
แต่หากมองย้อนกลับไป เราก็คือหนึ่งในคนกลุ่มนั้นโดยไม่รู้ตัว หลังจากแบกเป้มาเที่ยวเมืองไทยหลายครั้งในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย จึงตัดสินใจก้าวออกจากกรอบเดิม ย้ายมาอยู่ที่เมืองไทยพร้อมแค่กระเป๋าเดินทางหนึ่งใบและแล็ปท็อปอีกหนึ่งเครื่อง
"ผมเริ่มต้นจากการรับงานฟรีแลนซ์จากลูกค้าในเดนมาร์กประเทศบ้านเกิดของผม และไม่นานก็เริ่มมีลูกค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำคนเดียวไม่ไหว ผมจึงตัดสินใจตั้งบริษัทเล็ก ๆ ในเชียงใหม่ โดยเช่าออฟฟิศเล็ก ๆ ใกล้ ๆ วัดในเชียงใหม่ และเริ่มจ้างพนักงานคนแรกของเรา จนผ่านมาตอนนี้มะนาวซอฟต์แวร์ (Manao Software) ผ่านมา 18 ปีแล้ว เราเติบโตเป็นทีมที่มีพนักงานกว่า 120 คน"
เมื่อมองย้อนกลับไปอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ยังมีน้อย และมองหานักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีประสบการณ์ได้ยาก มหาวิทยาลัยก็ยังผลิตบัณฑิตด้านคอมพิวเตอร์ไม่มากนัก ขณะที่หลายบริษัทก็ยังใช้แนวทางการพัฒนาแบบเดิมที่ไม่ยืดหยุ่น ซึ่งได้เราเลือกใช้วิธี Agile และแนวปฏิบัติระดับสากลเข้ามาใช้ตั้งแต่แรก ซึ่งกลายเป็นจุดแข็งสำคัญของเรา และได้เปรียบพอสมควร
"ตลอด 18 ปีที่ผ่านมา ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ช่องว่างระหว่างบริษัทสไตล์ไทยกับสไตล์อินเตอร์เริ่มลดลง คนรุ่นใหม่ในวงการเทคโนโลยีของไทยมีมุมมองระดับโลกมากขึ้น ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นบริษัทซอฟต์แวร์ไทยที่ทันสมัยและบริหารจัดการได้ดีเกิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน"
ด้วยประสบการณ์การทำงานในวงการซอฟต์แวร์ไทยมามากกว่า 18 ปี คริสโตเฟอร์เห็นสิ่งหนึ่งที่ยังเป็นอุปสรรคใหญ่ของวงการซอฟต์แวร์ไทย นั่นก็คือ "ทักษะการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ" ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารกับลูกค้าหรือสื่อสารกับทีมงานด้วยกันเอง
เมื่อย้อนกลับไปดูรายงาน EF English Proficiency Index ปี 2024 เราพบว่าประเทศไทยกลับติดอันดับท้าย ๆ ของอาเซียนในด้านความสามารถด้านภาษา ซึ่งไทยอยู่อันดับที่ 106 จาก 116 ประเทศทั่วโลก ตัวเลขนี้ไม่ได้สะท้อนแค่ปัญหาเรื่องการสื่อสาร แต่ยังหมายถึงข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาดต่างประเทศ องค์ความรู้ระดับโลก และเอกสารเชิงเทคนิคจำนวนมากที่ล้วนเขียนเป็นภาษาอังกฤษ
โดย Manao Software ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่ช่วยปิดช่องว่างดังกล่าว ซึ่งเราใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการทำงาน และมองหาผู้สมัครที่มีทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษที่ดี โดยการที่เรามีพนักงานทั้งคนไทยทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานชาวต่างชาติและลูกค้าทั่วโลก ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางภาษาและวัฒนธรรมจริงในทุก ๆ วัน
"ผมมองว่า Manao เปรียบเสมือนตัวช่วยขับเคลื่อน (enabler) และเป็นเหมือนตัวช่วยที่เชื่อมไทยกับโลก ที่เปิดโอกาสให้คนของเราเติบโตไม่ใช่แค่ในฐานะนักพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือด้านเทคนิคเท่านั้น แต่ยังช่วยให้พวกเขาได้พัฒนาความมั่นใจในการทำงานในบริบทระดับสากล และแม้ว่าวันหนึ่งพวกเขาจะไปเติบโตต่อในที่ใหม่ ประสบการณ์จากที่นี่ก็ยังติดตัวพวกเขาไป และนั่นคือสิ่งที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมนี้โดยรวม"
คริสโตเฟอร์ บอกอีกว่า Manao Software ได้รับอิทธิพลจากรากฐานความเป็นเดนมาร์กของผมอย่างลึกซึ้ง และ DNA แบบสแกนดิเนเวียก็ฝังอยู่ในทุกอย่างที่เราทำ ในสแกนดิเนเวีย เราให้ความสำคัญกับคุณภาพและการออกแบบที่ดี ผมเอาความคิดแบบนั้นมาใช้กับการพัฒนาซอฟต์แวร์ ลูกค้าของเราต่างให้ความสำคัญกับคุณภาพและความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในตลาดนี้ที่มีความซับซ้อนในหลายๆ แง่มุมว่าจะมีใครบ้างที่ส่งมอบผลงานได้จริง เราจึงผสานดีไซน์ในระดับสากลเข้ากับวิศวกรรมที่แข็งแกร่ง และกระบวนการทดสอบที่เข้มข้น
"ที่สำคัญ เราคือบริษัทซอฟต์แวร์แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองในระดับ Gold Partner จาก ISTQB® หรือ International Software Testing Qualifications Board ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของทีมคุณภาพภายในองค์กรอย่างแท้จริง สุดท้ายแล้ว ลูกค้าเลือกเราเพราะเขาเชื่อว่าซอฟต์แวร์ที่เราทำไม่ใช่แค่ใช้ได้ แต่ใช้ดีด้วย"
ทั้งนี้ ตอนที่เราตัดสินใจเดินหน้าขอการรับรอง ISTQB Gold Partner สิ่งที่ผมถามตัวเองคือ เราจะเพิ่มคุณค่าให้ลูกค้าได้ยังไงอีก เพราะสำหรับเราการทดสอบคุณภาพ หรือ QA (Quality Assurance ) ไม่ใช่แค่การหาข้อผิดพลาดในซอฟต์แวร์เท่านั้น แต่มันคือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าว่าเราทำงานอย่างมีมาตรฐานสากล มีคุณภาพ และไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น
โดยลูกค้าของเราต้องการความมั่นใจว่าเราจะทำทุกอย่างได้ถูกต้องตั้งแต่ต้น ดังนั้นการมีใบรับรองนี้ก็ช่วยตอกย้ำว่าทุกกระบวนการของเราเป็นไปตามมาตรฐานระดับสากลที่เข้มงวดจริง ๆ แน่นอนว่าในท้ายที่สุด เมื่อเราทำให้ลูกค้าพึงพอใจได้มากขึ้น ก็ส่งผลดีต่อธุรกิจของเราเช่นกัน เพราะลูกค้ามักเลือกอยู่กับเรานานขึ้น
สำหรับ Manao Software เรามองเรื่องนี้เป็นพันธกิจระยะยาว ไม่ใช่แค่เป้าหมายชั่วคราว เพราะการรักษาสถานะ Gold Partner ไว้ได้ ต้องอาศัยการฝึกอบรมและพัฒนาทีม QA อย่างต่อเนื่อง โชคดีมากที่เรามีทีม QA ที่ทุ่มเทสุดหัวใจ พวกเขาไม่ได้แค่ทำงานแต่ใช้ชีวิต และมี passion อยู่กับคำว่า คุณภาพ อย่างแท้จริง และด้วยพลังของทีมนี้ และผมมั่นใจว่า ด้วยความมุ่งมั่นแบบนี้ เราจะรักษาสถานะ Gold Partner ไว้ได้อีกนาน
คริสโตเฟอร์ บอกอีกว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้านี้จะเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ไม่ใช่แค่สำหรับ Manao Software เท่านั้น แต่สำหรับทั้งอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์โดยรวม AI จะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการยกระดับการให้บริการและการพัฒนาซอฟต์แวร์
เราเริ่มเห็นแล้วว่าหลายบริษัทเริ่มสำรวจว่าปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานของพวกเขาได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการลดงานซ้ำซ้อน หรือทำให้กระบวนการต่าง ๆ เป็นอัตโนมัติมากขึ้น หลายบริษัทเริ่มสนใจว่า AI จะเข้ามาช่วยให้ธุรกิจทำงานเร็วขึ้น และฉลาดขึ้นได้อย่างไร แต่หลายคนก็ยังไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ปัญหาเหล่านี้ที่ Manao อยากเข้าไปช่วย
"เป้าหมายของเราคือการเป็นพันธมิตรที่องค์กรสามารถไว้วางใจ ในการเดินหน้าสู่การใช้ AI อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่ตามกระแส แต่เราอยากให้ลูกค้า หรือพันธมิตรของเราได้ใช้ AI ที่เกิดประโยชน์ และ ให้เกิดคุณค่าแท้จริง โดยเราจะช่วยออกแบบระบบที่ผสาน AI เข้าไปในเครื่องมือภายในการทำงาน แม้กระทั่งการพัฒนาโซลูชันใหม่ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อให้องค์กรเดินหน้าด้วยเทคโนโลยีที่ดีขึ้น ดังนั้นเราจึงได้ขยายรูปแบบการบริการให้หลากหลายมากขึ้น เพราะเราอยากเป็นเพื่อคู่คิดที่จะช่วยพัฒนาธุรกิจของลูกค้าด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและใช้งานได้จริง"
นอกจากนี้ เรายังเริ่มขยายบริการในรูปแบบใหม่ เช่น low-code/no-code เพื่อช่วยให้ลูกค้าสร้างไอเดียหรือระบบได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องมีทีมเทคนิคขนาดใหญ่ ซึ่งเหมาะกับทั้งบริษัทเล็กและใหญ่ที่อยากทดลองอะไรใหม่ ๆ ไปด้วยกัน และหนึ่งในแคมเปญหลักที่เราให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่องคือ Manao Mashup กิจกรรมที่เปิดพื้นที่ให้ผู้ที่สนใจด้านเทคโนโลยีได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และค้นพบแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นเสมอมา และเรายังคงทำอย่างต่อเนื่องทุกปี
ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งในวิสัยทัศน์ของ Manao Software เพื่อทำให้เทคโนโลยีเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและสร้างผลงานที่ใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก หรือจะอยู่ในระดับใดของการเปลี่ยนผ่านการทำงานไปสู่ระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ และ Manao Software จะเข้าไปเป็นเพื่อนคู่คิดให้กับทุกภาคธุรกิจเพื่อให้ทุกองค์กรสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต