
ในสนามธุรกิจวันนี้ การ “อยู่รอด” ไม่ใช่แค่เรื่องของฝีมือ แต่คือสงครามของ “ความอึด” และ “สายป่าน” ดั่งทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่ว่า…
“ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงที่สุด หรือ ฉลาดที่สุดที่จะอยู่รอด หากแต่ คือ ผู้ที่ปรับตัวได้ดีที่สุด ต่างหาก”
โลกธุรกิจก็ไม่ต่างกัน ไม่ใช่บริษัทที่ใหญ่ที่สุด หรือทุนหนาที่สุด จะรอดเสมอไป แต่คือธุรกิจที่ ปรับตัวไว ยืดหยุ่นสูง และ อึดพอจะยืนได้นานกว่าคนอื่น
ย้อนกลับมาที่ธุรกิจไทยวันนี้ ทุกอุตสาหกรรมกำลังเจอโจทย์เดียวกัน
แม้แต่ “ยักษ์ใหญ่” ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่เคยเป็นธุรกิจเงินสดสูง กำไรดี วันนี้ตัวเลขรายไตรมาสบอกได้ชัด ว่าต่างพากัน รายได้หาย กำไรหด เพราะ ทุกค่ายเผชิญแรงกระแทกจากทั้งเศรษฐกิจในประเทศ และแรงสั่นสะเทือนจากความผันผวนของโลกแบบรายวัน ตั้งแต่ช่วงวิกฤติโควิด-19 จบลง
จนเกิดคำถาม ใครจะ “อยู่” ใครจะ “ไป” และท่ามกลางสนามธุรกิจที่โหดขนาดนี้ อะไร คือกลยุทธ์ ที่จะทำให้ “อยู่รอด”ได้จริงอย่างยั่งยืน
Thairath Money ชวนเจาะลึกแนวคิดกับ “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” CEO แห่ง SC Asset เพื่อถอดบทเรียน “กลยุทธ์เอาตัวรอด” ที่ไม่ใช่แค่บริษัทใหญ่จะทำได้ แต่นี่คือแนวคิดธุรกิจที่รายเล็กๆ ก็ปรับใช้ได้จริง
จากวันที่อสังหาฯเคยถูกมองว่าเป็น “ธุรกิจมั่นคง” แต่วันนี้ กลับกลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ต้องปรับตัวเร็วที่สุด ปี 2568 คือหนึ่งในปีที่โหดที่สุดในรอบ 30 ปี เพราะ 3 ปัจจัยลบกำลังรุมกระหน่ำผู้ประกอบการอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ปีที่แล้วว่ายากแล้ว ปีนี้ยากกว่า”
“ เศรษฐกิจโตไม่ทันหนี้ครัวเรือน คนชะลอการตัดสินใจซื้อ และ ใช้เงินสดซื้อน้อยลง โดยหันไปกู้แทน แต่ก็กู้ยาก สต็อกบ้าน-คอนโดฯ ที่มีอยู่จึงระบายได้ช้า”
“ณัฐพงศ์” ผู้บริหารคนดัง กับตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในวัย 45 ปี ชี้ว่า จากธุรกิจที่เคย “ขายแทบไม่ทัน” ในยุคโควิด เพราะคนต้องอยู่บ้าน ทำงานที่บ้าน วันนี้ดีเวลลอปเปอร์รายไหน ที่สุขภาพการเงินไม่ดี กลับต้องเร่งระบายของเก่า หั่นราคาหนักหน่วง ลด แลก แจก แถม เพื่อเอาตัวรอด และรักษาสภาพคล่องให้ได้มากที่สุด
เป็นอีกครั้งที่เราได้ยินว่า ในโลกของธุรกิจ“สูตรเดิม” ไม่ได้การันตียอดขายและกำไร ฉะนั้น ธุรกิจที่พึ่งพาสินค้าหรือโมเดลรายได้เพียงอย่างเดียว เหมือนเดินอยู่บนเชือกเส้นเดียวที่ตึงเครียดกว่าที่เคย
ถอดการเดิมเกมธุรกิจของ SC Asset ที่เหมือนจะมองเห็นความเสี่ยงมาก่อนใครนั้น จึงเลือกไม่ฝากอนาคตไว้กับธุรกิจบ้านอย่างเดียว ปัจจุบัน SC Asset แบ่งพอร์ตธุรกิจ เป็น 3 กลุ่ม หรือ 3 Engine
Engine 1 : ธุรกิจสร้างกำไร (Real Estate Development)
ประกอบไปด้วย การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย โดยมีโครงการบ้านระดับราคา 20 ล้านบาท เป็น “พระเอก” ของโปรดักส์ ภายใต้จำนวนโครงการอยู่ระหว่างการขาย 96 โครงการ มูลค่าโครงการ 94,500 ล้าน
ปีนี้ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 15 โครงการ มูลค่ารวม 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 12 โครงการ มูลค่ารวม 18,000 ล้านบาท และแนวสูง 3 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท
พบข้อมูลสำคัญ ณ ไตรมาส 2 /2568 SC Asset มียอดขายเฉพาะโครงการแนวราบ เติบโต 118% จากไตรมาสก่อนหน้า ที่ 5,274 ล้านบาท (สูงสุดในรอบ 2 ปี)
โครงการขายดี ได้แก่
ผู้บริหารเล่าว่า แม้ตลาดโดยรวมจะยังมีความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค แต่กลุ่มบ้านระดับพรีเมียม (ราคามากกว่า 20 ล้านบาท) ยังเติบโตได้ โดยเฉพาะแบรนด์ GRAND BANGKOK BOULEVARD ที่ปกติทำยอดขายราว 300-500 ล้านบาท/ปี
แต่โครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สุขสวัสดิ์-พระราม 3 (40 – 148 ล้านบาท) ที่เพิ่งเปิดขาย เพียงโครงการเดียว มียอดขายเกิดขึ้นสูงถึง 1,200 ล้านบาท
Engine 2: ธุรกิจสร้างการเติบโต (Recurring Income)
อาจไม่เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไป ว่า SC Asset นั้น ยังเป็นเจ้าของ Warehouse (คลังสินค้า) ให้เช่า หลายแห่ง ซึ่งแต่ละปีมีการสร้างพื้นที่ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี จะมีพื้นที่สร้างเสร็จรวมสะสมกว่า 150,000 ตร.ม. โดยมีผู้เช่าหลากหลาย ตั้งแต่ Logistics,Manufacturing ,Data Center และอื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีอาคารสำนักงาน และ อพาร์ทเมนท์ โดยใน Engine นี้ ยังครอบคลุมไปถึงกลุ่มธุรกิจ Hotel ด้วย
Engine 3 : ธุรกิจแห่งอนาคต (อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้)
จะเห็นได้ว่าพอร์ตธุรกิจที่หลากหลาย ถูกแบ่งออกเป็นถึง 3 Engine ถูกโยงใยเพื่อขับเคลื่อนรายได้อย่างสมดุล แม้ธุรกิจเดิม ยังทำเงินได้ดี แต่ ”ณัฐพงศ์” ให้ข้อคิดเปรียบเปรยว่า … “ห้ามคิด ว่าสินค้าที่เคยขายดีวันนี้ ยังจะขายดีตลอดไป”
และนี่คือ 1 ใน 3 กลยุทธ์สำคัญ 3B ที่ SC Asset เชื่อว่าจะพาให้องค์กรอยู่รอดทุกสถานการณ์
SC Asset ถ่ายทอดกลยุทธ์การทำธุรกิจให้ฟังว่า ในช่วงที่ยากลำบากของหลายธุรกิจ องค์กรต้องมี 3 สิ่งนี้
Believe: สร้างแบรนด์ ให้น่าเชื่อถือทั้งในแง่คุณภาพ บริการ ความใส่ใจโลก เพราะในช่วงที่ลูกค้าคิดเยอะ แบรนด์ที่ถูกเชื่อมั่นมากที่สุด จะเป็นผู้ถูกเลือก การทำธุรกิจยุคใหม่ มุ่งเน้นเพียงแต่กำไร คือ ความเสี่ยง โจทย์คือทำอย่างไร ให้แบรนด์เรา อยู่ในใจ “ผู้บริโภค” เปรียบเป็นแสงสว่าง ในห้องที่มืดมิดให้ได้
Buffer: ดูแลสุขภาพการเงินให้แข็งแกร่ง สภาพคล่องสูง ระดับหนี้ต่ำ มีแหล่งเงินทุนและพันธมิตรการลงทุนหลากหลาย ผู้บริหาร SC Asset แชร์ว่า บริษัทที่จะผ่านช่วงนี้ไปได้ ต้องมี “กันชน” โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ที่ต้องใช้เงินทุนสูงมาก ในการขับเคลื่อน
ในกรณีของ SC Asset ใช้วิธีกระจายแหล่งเงินทุนหลากหลาย เช่น สถาบันการเงินรายใหญ่, พันธมิตรการลงทุน (Investment Partner)ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ใน 4 ธุรกิจ, หุ้นกู้ (Bond) ซึ่งผลสำเร็จดังกล่าว มาจากความไว้ใจและเชื่อมั่นในบริษัท
Blend: ผสมผสานพอร์ตธุรกิจหลากหลาย รองรับโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว
“ความแม่นยำ ไม่ทรงพลัง เท่ากับความหลากหลาย บริษัทไหนมีครบทั้ง 3 B ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบไหน ก็เชื่อว่าจะยังเติบโตได้” ณัฐพงศ์ กล่าว…
เพราะโลกไม่เคยรอให้เราตั้งหลัก... ธุรกิจที่ยังคิดจากแผนเดิมเมื่อปีที่แล้ว อาจตกขบวนตั้งแต่ต้นไตรมาส การคุยกัน “ถี่ขึ้น” และ “ลึกขึ้น” กลายเป็นเข็มทิศใหม่ขององค์กรที่ต้องปรับตัวเร็วในโลกที่เปลี่ยนเร็วกว่าแผนธุรกิจ
ซึ่ง “ณัฐพงศ์” เสริมในประเด็นนี้ว่า ไม่ปฎิเสธ ว่า การทำธุรกิจยุคนี้ ยังจำเป็นต้องมีแผนระยะยาว 3-5 ปี เพื่อเป็นเป้าหมายใหญ่ให้องค์กร แต่แผนแบบรายเดือน ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะสถานการณ์เปลี่ยนตลอดเวลา
สิ่งที่องค์กรใหญ่อย่าง SC Asset ทำ คือ มีการจัดทำแผนงาน รองรับ Scenario ตั้งแต่กรณีดีสุด เป็นจนถึง เลวร้ายสุด แผนสำรอง 1 ถึง 3 เตรียมพร้อมไว้ เพื่อปรับใช้ได้ทันที เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น
“มองให้ขาด ถึงจะรอด”
และอาจกล่าวได้ว่า แนวคิดข้างต้น อยู่บน 4 เรื่องใหญ่ ของเมืองไทย ที่คนทำธุรกิจต้องคอยมอนิเตอร์ ในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะทุกปัจจัย จะหวนกลับมากระแทก “เศรษฐกิจ” หรือ “GDP” ไทย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น…
ส่วนอะไรที่จะเป็น Game Changer เศรษฐกิจไทยได้นั้น “ณัฐพงศ์” ตอบ Thairath Money ว่า เศรษฐกิจจะโตขนาดไหน ไม่สำคัญเท่า การทำให้ สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทย ลดลง
เพราะ GDP โต อาจดูเหมือนเศรษฐกิจดีในภาพรวม แต่ถ้า ครัวเรือนยังมีหนี้ล้น คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีแรงจับจ่าย ไม่กล้าลงทุน ไม่กล้าใช้ชีวิต คล้ายจะสื่อความว่า เศรษฐกิจจะโตได้ ต้องมีฐานประชากรที่ “ลุกได้” ไม่ใช่ “ล้มลุกคลุกคลาน”
ถ้าคนไทยยังเป็นหนี้ การบริโภคภาคประชาชนที่เป็น “เครื่องยนต์ใหญ่” ของเศรษฐกิจ ก็ไม่สามารถฟื้นตัวได้จริง ต่อให้ GDP โตแค่ไหนก็ตาม
ส่วนข้อเสนอแนะ และมาตรการกระตุ้นธุรกิจ ที่ “ณัฐพงศ์” อยากเห็นนั้น ระบุว่า สนับสนุนแนวคิด “ทรัพย์อิงสิทธิ์” เพื่อขยายเวลาเช่าอสังหาริมทรัพย์จาก 30 ปี เป็น 99 ปี สำหรับ กระตุ้นการลงทุนและดึงผู้มีรายได้สูง และกลุ่มแรงงานผู้มีศักยภาพจากต่างประเทศเข้ามาอยู่อาศัยในไทย
หรือ แนวคิด "ซื้อหนี้ประชาชน” เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตหนี้ครัวเรือน นำหนี้เสียออกจากระบบธนาคารพาณิชย์ ให้เอกชนหรือหน่วยงานเฉพาะกิจ หรือ ตั้งกองทุน ขึ้นมา เข้ามารับซื้อหนี้ แล้วปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระของลูกหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถตั้งตัวใหม่และหลุดพ้นจากปัญหาหนี้สินได้
ท่ามกลางความหวังใหม่ หลังจาก มีการประกาศชื่อ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนใหม่ ที่มีแนวโน้ม จะปรับให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำลง ซึ่งจะเป็นแรงบวก ทั้งฝั่งผู้ประกอบการทุกธุรกิจ เพราะจะทำให้ต้นทุนการเงินจะลดลง ขณะผู้กู้รายย่อย อย่างประชาชน ก็มีโอกาส เข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้มากขึ้น แบกภาระด้านดอกเบี้ยต่ำลงด้วย
บทสรุปของเรื่องราว ในวันที่เศรษฐกิจยังไม่แน่นอน และโลกเปลี่ยนเร็วเกินคาด ดูเหมือนว่า “แผนธุรกิจ” ที่ดีที่สุด คือการเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในแผน และบทเรียนจาก SC Asset ก็ชัดเจนว่า
ท่ามกลางโลกที่เศรษฐกิจโตไม่ทันหนี้ การมองให้ขาด ปรับให้ไว และบริหารให้สมดุล คือ “กลยุทธ์เอาตัวรอด” ที่ไม่ใช่แค่ SC จะใช้ได้ แต่ทุกธุรกิจในประเทศนี้ก็ทำได้ ถ้าเข้าใจว่า การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว...แต่คือโอกาสที่ต้อง “บริหาร” ให้เป็น
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney