ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยต้องการแรงหนุนจากทุกทิศทาง การลงทุนจากภาคเอกชน โดยเฉพาะ “บริษัทระดับโลก” กลายเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
เนสท์เล่ (Nestlé) ยักษ์ใหญ่วงการอาหารและเครื่องดื่มของโลก ที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 150 ปี เป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ครอบคลุมกว่า 2,000 แบรนด์ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย เราต่างคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์แบรนด์ต่าง ๆ ของเนสท์เล่ ทั้ง เนสกาแฟ ไมโล นมตราหมี แม็กกี้ คิทแคท เนสท์เล่ไอศกรีมและอื่น ๆ อีกมากมาย
การเข้ามาของเนสท์เล่ในประเทศไทย จึงไม่เพียงเป็นการนำเม็ดเงินเข้ามาลงทุน แต่เป็นการสร้างแรงกระเพื่อม และสร้างห่วงโซ่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในหลายมิติของประเทศ
ภาพรวมการลงทุนของเนสท์เล่ในประเทศไทย ได้มุ่งเน้นทั้งในแง่การขยายกำลังการผลิต ในโรงงานทั้ง 8 แห่งทั่วประเทศ การปรับปรุงสายการผลิตเพื่อเพิ่มความทันสมัย และระบบซัพพลายเชน ซึ่งรวมเป็นมูลค่าการลงทุนมากกว่า 22,800 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาปี 2561 - 2567 ที่ผ่านมา เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดในภูมิภาคอาเซียน รวมไปถึงการส่งออกไปสู่ตลาดโลก โดยโรงงานผลิตครีมเทียมของเนสท์เล่ ในนิคมอุตสาหกรรมบางปู ถือเป็นแหล่งผลิตครีมเทียมอันดับต้น ๆ ของโลก ด้วยการส่งออกไปราว 50 ประเทศทั่วโลก ส่วนโรงงานผลิตอาหารสัตว์ 2 แห่งของเนสท์เล่ในจ.ระยอง ก็มีการส่งออกไปมากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก
เช่นเดียวกับบทบาทในการจ้างงานและพัฒนาอาชีพของแรงงานไทย ปัจจุบันเนสท์เล่มีจำนวนพนักงานชาวไทยกว่า 3,000 คน ที่เป็นพนักงานประจำ และด้วยขนาดของธุรกิจเนสท์เล่ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกช่วงวัยของผู้บริโภคย่อมช่วยให้เกิดการสร้างงานทางอ้อมอีกมากมายในห่วงโซ่คุณค่า
ภาคการเกษตร เป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์สำคัญของเนสท์เล่ ในฐานะแบรนด์ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม การเลือกใช้วัตถุดิบเป็นประเด็นที่ต้องมีความพิถีพิถัน เนสท์เล่ได้เลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นที่มีคุณภาพและส่งเสริมเกษตรกรไทยมาอย่างต่อเนื่องกว่า 40 ปี
ภายใต้แบรนด์เนสกาแฟ (Nescafé) ผู้ผลิตสินค้ากาแฟสำเร็จรูปทั้งในรูปแบบพร้อมชงและพร้อมดื่ม ทางเนสท์เล่เลือกใช้เมล็ดกาแฟที่ปลูกในประเทศไทยเป็นวัตถุดิบสำคัญ ซึ่งมาจากสวนกาแฟที่ผ่านมาตรฐานในระดับสากล (4C) ทั้งหมดซึ่งเนสท์เล่เป็นกำลังสำคัญในการช่วยส่งเสริมองค์ความรู้ให้เกษตรกรได้รับมาตรฐานนี้ นอกจากนั้นแล้ว เนสท์เล่ยังเป็นบริษัทที่รับซื้อเมล็ดกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ที่สุดของไทย และได้รับซื้อเมล็ดกาแฟดิบจากเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทยมาเป็นเวลานานกว่า 40 ปีแล้ว โดยเมื่อต้นปี 2568 นี้ เนสท์เล่ได้รับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรไทยไปกว่า 2,000 ตัน
ตามวิสัยทัศน์ “Good for You, Good for the Planet” เนสท์เล่มุ่งส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของผู้บริโภค ควบคู่กับการสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง
นอกจากพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีโภชนาการที่ดี เนสท์เล่ยังได้ขับเคลื่อนโครงการเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีแก่คนไทยอย่างต่อเนื่อง เช่น “ภารกิจพิชิตสุขภาพดี” โดยตั้งเป้าเข้าถึง 100 ชุมชนทั่วประเทศภายในปี 2568 นี้ เพื่อสร้างความรู้ด้านโภชนาการ และสร้างพฤติกรรมสุขภาพผ่านกิจกรรมตลอด 13 สัปดาห์ ด้วยความตั้งใจลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น เบาหวาน และความดันโลหิตสูง ซึ่งโครงการนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2566 และสามารถเข้าถึงคนไทยแล้วกว่า 15,000 คน ในทุกปี เนสท์เล่ ลงทุนมอบผลิตภัณฑ์สุขภาพและอุปกรณ์นับก้าวให้ผู้เข้าร่วมโครงการทุกคน
ในด้านความยั่งยืน เนสท์เล่ได้นำแนวคิด “การเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture)” เข้ามาประยุกต์ในการทำการเกษตร ซึ่งเป็นแนวทางด้านความยั่งยืนที่สามารถลงมือปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพและปริมาณของผลผลิต สร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกร พร้อมกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งดินและแหล่งน้ำ ให้มีความอุดมสมบูรณ์ ด้วยความตั้งใจในการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ไปพร้อม ๆ กับการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพดี ที่มาจากวัตถุดิบคุณภาพให้แก่ผู้บริโภค
นอกจากเม็ดเงินลงทุนที่จะเกิดประโยชน์กับประเทศไทยแล้ว การเข้ามาของบริษัทต่างชาติมักมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ มาตรฐานการผลิตที่สูง ความรู้ใหม่ ๆ ที่สามารถถ่ายทอดให้แก่คนไทยได้พัฒนาศักยภาพ และพร้อมแข่งขันในตลาดโลก
ในอนาคต เนสท์เล่จะยังคงเดินหน้าลงทุนในประเทศไทย และจะยังผลิตเนสกาแฟในประเทศ และสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้แก่ทุกภาคส่วน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ด้วยการนำเม็ดเงินเข้ามาลงทุน สร้างงานสร้างอาชีพให้คนไทย ใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรไทยในการผลิต และนำผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายให้คนไทยในราคาที่เข้าถึงได้ กำไรที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกิจก็มีการหมุนเวียนกลับมาลงทุนเพิ่มเติมในประเทศ เกิดเป็นวัฏจักรทางเศรษฐกิจที่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทย