งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมความงามระดับภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุด Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 เตรียมกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ในระหว่างวันที่ 25–27 มิ.ย. 68 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตอบรับกระแสความงามทั่วโลกหลั่งไหลสู่อาเซียน
นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเป็นศูนย์กลางของตลาดความงามในอาเซียน ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่โดดเด่นถึง 11% ซึ่งอยู่ในอันดับต้นของภูมิภาคและเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ตลาดความงามของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีมูลค่าสูงถึง 34,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีศักยภาพมากกว่าแค่ตลาดที่น่าสนใจ ทำเลที่ตั้งซึ่งเชื่อมต่อภูมิภาคได้สะดวก บวกกับโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ทำให้เหมาะอย่างยิ่งในการเป็นเจ้าภาพจัดเวทีการค้าความงามระดับ B2B อย่าง Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 ที่จะเชื่อมโยงผู้ประกอบการระดับโลก นักลงทุน ผู้นำเข้าแบรนด์ต่างประเทศและผู้ซื้อรายสำคัญ เปิดโอกาสให้เกิดการพบปะแชร์เทรนด์ แลกเปลี่ยนความรู้ และเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งล้วนเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมความงามอาเซียนสู่ระดับโลก
คุณหยิง ซาง ประธานกรรมการบริหาร CBE China Beauty Expo บริษัท Shanghai Baiwen Exhibitions Co., Ltd. เสริมว่า เราได้นำกลุ่มผู้แสดงสินค้าชาวจีนที่โดดเด่นมาร่วมงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 เพื่อจัดแสดงผลิตภัณฑ์ C-beauty คุณภาพสูงเคียงข้างนวัตกรรมจากอาเซียน ซึ่งจะจุดประกายเทรนด์ใหม่ ๆ และสร้างแรงบันดาลใจแก่ตลาดในภูมิภาค โดยเฉพาะผู้ซื้อจากตลาดที่มีความต้องการเฉพาะ เช่น จีน ที่จะได้พบโอกาสในการจับคู่ธุรกิจที่ทรงคุณค่า
นางเกศมณี เลิศกิจจา นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย เปิดเผยว่า ตลาดความงามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2024 ที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 34,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 16% ในระหว่างปี 2024–2028 จึงนับได้ว่าเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีอุตสาหกรรมความงามและเครื่องสำอางเติบโตเร็วที่สุดในโลก
ส่วนประเทศผู้นำด้านดีมานด์ในภูมิภาค ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากผู้บริโภคในประเทศและนักท่องเที่ยว โดยเทรนด์ในอนาคตจะเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เฉพาะเจาะจงตามสีผิวและสภาพอากาศของท้องถิ่น รวมถึงผลิตภัณฑ์แนวธรรมชาติ ออร์แกนิก ที่เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 9.2% ตามกระแสความต้องการผลิตภัณฑ์แบบคลีน วีแกน ปลอดสารพิษ และไม่ทดลองในสัตว์ กลุ่มสินค้ามาแรงที่น่าจับตามอง ได้แก่ กลุ่มดูแลผู้ชาย (men’s grooming) ที่เริ่มมีพฤติกรรมการดูแลผิวและผมมากขึ้น รวมถึงกลุ่ม Silver Beauty สำหรับผู้สูงอายุ ที่มองหาผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอย อ่อนโยน และใช้งานง่าย
"เรามองว่าอีก 10 ปีข้างหน้า (2025–2035) อุตสาหกรรมความงามในภูมิภาคอาเซียนจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เน้นความยั่งยืน ธรรมชาติ และตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้สูงวัย รวมถึงผู้ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม งาน CCA 2025 นี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญของทั้งแบรนด์ท้องถิ่นและผู้ผลิต OEM/ODM ในไทย ที่สามารถนำจุดแข็งด้านวัตถุดิบ สมุนไพร และกระบวนการผลิตในราคาที่แข่งขันได้ ไปต่อยอดเพื่อส่งออกสู่ตลาดหลักทั่วโลก"
หนุนไทยเด็ด : นายพิมาน พูลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เข้าร่วมในพิธีเปิดงาน OTOP Mid Year 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-15 มิถุนายน 2568 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีนางสาวแพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี
สำหรับงาน OTOP Mid Year 2025 ถือเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือภายใต้บันทึกข้อตกลง พลิกโฉม OTOP ไทยสู่โลกออนไลน์และ Modern Trade ซึ่ง OR พร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจ ได้ร่วมลงนามเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนเข้าสู่ระบบค้าปลีกสมัยใหม่อย่างเป็นรูปธรรม โดย OR ได้นำสินค้าจาก 8 วิสาหกิจชุมชนในโครงการไทยเด็ด มาร่วมจำหน่ายในงานนี้
ทั้งนี้ โครงการไทยเด็ด เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ OR ที่ได้ร่วมพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ผ่านการคัดเลือกและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ได้มาตรฐาน โดยใช้จุดแข็งของเครือข่ายสถานีบริการ PTT Station ที่ครอบคลุมทั่วประเทศเป็นช่องทางการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคอย่างทั่วถึง โดยตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา ไทยเด็ดสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนแล้วกว่า 166 ล้านบาท และในปีนี้ OR ตั้งเป้าสร้างรายได้รวม 200 ล้านบาทให้แก่ชุมชน พร้อมเดินหน้าฝึกอบรมผู้ผลิตและผู้ประกอบการท้องถิ่น เข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่อย่างเต็มรูปแบบ
เพื่อความยั่งยืน : กลุ่มธุรกิจ TCP ประกาศความสำเร็จสะท้อนเจตนารมณ์เพื่อความยั่งยืนผ่านโครงการ TCP ปลุกพลังความยั่งยืน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ผนึกกำลังกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการขยะในชุมชนที่ตำบลหงาวและตำบลบางนอน จังหวัดระนอง ระหว่างปี 2565 - 2567 ชูแนวคิด Extended Producer Responsibility (EPR) หรือหลักการขยายความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของผู้ผลิตให้ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตบรรจุภัณฑ์ มาใช้เป็นแนวทางหลักในการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ ผลักดันสู่การจัดทำเทศบัญญัติการจัดการขยะ พร้อมต่อยอดสู่การนำเสนอแนวทางเชิงนโยบายให้กับภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนเป้าหมายเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศในระยะยาว