
Matthew G. Badalucco ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Trinket กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้ Trinket โดดเด่นอย่างแท้จริง คือความสามารถในการเปลี่ยนสินค้าทั่วไปของเหล่าศิลปินให้กลายเป็นของสะสมที่มีมูลค่าสูงและสามารถยืนยันความเป็นเจ้าของได้อย่างชัดเจน
โดยสินค้าทุกชิ้นที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม Trinket จะเป็นสินค้าที่ผลิตขึ้นพิเศษ เพราะมีจำนวนจำกัดและจำกัดเวลาในการจำหน่าย หากสินค้าทั้งหมดในล็อตนั้นถูกซื้อหมดหรือหมดเวลาการสั่งซื้อ สินค้าล็อตนั้นก็จะหยุดการจำหน่ายลงทันที และที่สำคัญคือ สินค้าทั้งหมดจะไม่มีการผลิตซ้ำ นอกจากความเอ็กซ์คลูซีฟแล้ว Trinket ยังมุ่งเน้นด้าน Hyper-Personalization โดยสินค้าทุกชิ้นจะถูกผลิตขึ้นสำหรับผู้ซื้อแต่ละรายโดยเฉพาะ
ทั้งนี้ สินค้าแต่ละชิ้นจะประกอบด้วยข้อมูลเฉพาะบุคคลอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นใบรับรองการเป็นเจ้าของแบบดิจิทัล (Digital Ownership Certificate), รหัส QR code ที่เชื่อมโยงไปยังใบรับรองดังกล่าว, หมายเลขประจำสินค้าที่ไม่ซ้ำกัน ไปจนถึงวันที่และเวลาที่ทำการสั่งซื้อแบบเฉพาะเจาะจง เมื่อสแกน QR code บนสินค้า Trinket จะแสดงใบรับรองความเป็นเจ้าของของสินค้าชิ้นนั้นทันที ซึ่งไม่เพียงแต่พิสูจน์ว่าสินค้านั้นเป็นของแท้ แต่ยังแสดงความเป็นเจ้าของของผู้ซื้อได้อย่างแม่นยำด้วยระบบดิจิทัลอีกด้วย
สำหรับศิลปิน Trinket เปรียบเสมือนช่องทางสร้างรายได้ใหม่ที่ทรงพลัง โดยการคาดการณ์เบื้องต้นระบุว่า แต่ละล็อตของสินค้าจะสามารถสร้างรายได้สูงกว่าการขาย Merch แบบดั้งเดิมถึง 200–900% อีกทั้งยังมีระบบ Vintage Shop ที่ศิลปินจะได้รับค่าลิขสิทธิ์ 5% ทุกครั้งที่มีการซื้อขายสินค้าชิ้นนั้นต่อในตลาดมือสอง
นอกจากนี้ Trinket ยังมาพร้อมเครื่องมือบริหารแฟนคลับขั้นสูง ศิลปินสามารถกำหนดระดับการเข้าถึงแบบ Tiered Access เพื่อให้รางวัลแก่แฟนคลับระดับ Superfan พร้อมกับสร้างแรงจูงใจให้แฟนคลับทั่วไปยกระดับการมีส่วนร่วม ถือเป็นแนวทางที่ชาญฉลาดและขยายได้ต่อเนื่องในการสร้างความภักดีและคุณค่าในระยะยาว
สำหรับการเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยนั้น เรามองว่าแฟนคลับไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้ชมเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผู้สนับสนุนศิลปินที่มีบทบาทเชิงรุก พวกเขาร่วมกันระดมทุนจัดกิจกรรมโปรโมตศิลปิน หรือจัดงานวันเกิดในสถานที่หรูหราอย่างยิ่งใหญ่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่แท้จริงในการสร้างความใกล้ชิดกับศิลปินที่ตนชื่นชอบ
โดยเฉพาะกลุ่มแฟนคลับวัยรุ่นไทย เป็นกลุ่มที่ใช้โซเชียลมีเดียอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทำให้เกิดการตอบสนองต่อแคมเปญในแบบเรียลไทม์และสินค้าจำกัดเวลาขายที่เป็นจุดขายหลักของแพลตฟอร์ม Trinket ได้อย่างดี
ฟาเบียน มาร์ติน ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี (CTO) กล่าวว่า ประเทศไทยก็ถือว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปิดรับต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะแอพลิเคชันเพื่อความบันเทิง ซึ่ง trinket สามารถเข้ามาเติมเต็มในส่วนนี้ได้อย่างลงตัว
โดยเทคโนโลยี ประเทศไทยยังติดอันดับต้นๆ ของโลกในฐานะผู้ใช้งาน QR code, กระเป๋าเงินดิจิทัล และระบบสะสมแต้ม สิ่งเหล่านี้ช่วยสนับสนุนการใช้งานฟีเจอร์ยืนยันความเป็นเจ้าของด้วย AI encryption บนแพลตฟอร์ม Trinket ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ asava แบรนด์แฟชั่นชื่อดังของประเทศไทย ร่วมยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์แห่งความสุขและรอยยิ้มปรับโฉมชุดพนักงานบริการสาขา (CSC) ทั่วประเทศ ภายใต้แนวคิด Sharp Modern และ Sustainable
พร้อมใส่ใจความยั่งยืนด้วยการเลือกใช้ใยผ้ารีไซเคิลจากขวดพลาสติกที่ผ่านกระบวนการ Upcycling และได้เปิดตัวชุดสูทเชิดชูเกียรติยศสุดยอดตัวแทนประกันชีวิตเสริมภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ ความน่าเชื่อถือ พร้อมดูแลและเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
นายดลเดช สัจจวีระกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้เกียรติเป็นประธาน การประชุมผู้จัดการสาขาทั่วประเทศ พร้อมนำคณะผู้บริหารระดับสูง และผู้จัดการสาขาทั่วประเทศเข้าร่วมการประชุมวางแผนกำหนดแนวทางการดำเนินงาน ประจำปี 2568
โดยมุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพของตัวแทนประกันวินาศภัย และยกระดับมาตรฐานการดูแลคู่ค้าทางธุรกิจของบริษัทฯให้มีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร และการสนับสนุนเครื่องมือทางการตลาดที่ช่วยส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันให้กับเครือข่ายตัวแทน ณ โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ
อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ร่วมกับ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมและพันธมิตรธุรกิจ จัดงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2025 (JGAB 2025) งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับแห่งภูมิภาคอาเซียน ในระหว่างวันที่ 23 - 26 เมษายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หนุนไทยเป็นศูนย์กลางอัญมณีและเครื่องประดับของภูมิภาค การจัดงาน JGAB 2025 ครั้งนี้มุ่งหวังที่จะยกระดับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
รวมทั้งส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าของอัญมณีและเครื่องประดับในภูมิภาคอาเซียน โดยงานนี้จะเป็นเวทีสำคัญในการแสดงสินค้าระดับสากล, การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้, สร้างเครือข่ายธุรกิจ และเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับนักออกแบบและผู้ประกอบการจากทั่วโลก รวมถึงผู้ผลิตจากไทย เพื่อแสดงศักยภาพและสินค้าฝีมือคนไทยในระดับนานาชาติ