"กรกนก สว่างรวมโชค" อดีตวัยรุ่นสยามสร้างตัว ซีอีโอรองเท้า SHU ผู้โตมาจากข้าวก้นบาตร

Business & Marketing

Marketing & Trends

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

"กรกนก สว่างรวมโชค" อดีตวัยรุ่นสยามสร้างตัว ซีอีโอรองเท้า SHU ผู้โตมาจากข้าวก้นบาตร

Date Time: 15 ก.พ. 2568 05:00 น.

Summary

การเติบโตของ SHU อีก 1 แบรนด์รองเท้าไทย เป็นเรื่องน่าศึกษา เช่นเดียวกับเส้นทางธุรกิจที่แสนจะน่าทึ่งของผู้ก่อตั้ง “กรกนก สว่างรวมโชค” ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท ชู โกลบอล จำกัด

Latest

“MELAND” สยามพารากอน สวนสนุกในร่มแห่งแรกนอกจีน แลนด์มาร์กใหม่ งบลงทุน 400 ล้าน ค่าเข้าหลักพันบาท

การเติบโตของ SHU อีก 1 แบรนด์รองเท้าไทย เป็นเรื่องน่าศึกษา เช่นเดียวกับเส้นทางธุรกิจที่แสนจะน่าทึ่งของผู้ก่อตั้ง “กรกนก สว่างรวมโชค” ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท ชู โกลบอล จำกัด

คุณป้อ–กรกนก ในวัย 47 ปี เป็นคุณแม่ของลูกชาย 3 คน คนโต อายุ 24 ปี กำลังศึกษาระดับปริญญาโท นอกจากชิงเปิดเกมเร็วในชีวิตครอบครัวแล้ว ผู้หญิงคนนี้ ซึ่งเริ่มต้นบทสนทนากับ “เลดี้แจน” ว่าเธอเป็นคนไม่มีต้นทุน เกิดมาในครอบครัวปากกัดตีนถีบ ยังเปิดเกมเร็ว
แบบไม่รอใครในเส้นทางธุรกิจ ไม่เคยเป็นลูกจ้างเพราะเป็นเจ้าของกิจการตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ

วัยเด็ก คุณป้อต้องแบ่งเบาภาระครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวลูก 4 หลังบิดาเสียชีวิต เธอเดินขายขนมปังแถวถนนจันทร์ ตั้งแต่ ป.4 มีพระที่วัดลุ่มเป็นลูกค้ารายใหญ่ เหมาขนมที่เธอเดินขายด้วยปรานี แถมยังเอื้อเฟื้อให้กินข้าวก้นบาตร ทำให้ครอบครัวของเธอได้กินข้าววัดจนเธอเรียนจบมหาวิทยาลัย “ป้อโตมาด้วยข้าวก้นบาตร”

เพราะต้องช่วยที่บ้านทำมาหากิน คุณแม่กัดฟันส่งเธอเรียนสายพาณิชย์ที่ ACC จบมาจะได้ทำงานเลย แต่คุณป้อมองอนาคตตัวเองไกลกว่านั้น เธอขวนขวายจนสอบติดคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่งตัวเองเรียนด้วยการเป็นติวเตอร์ “ตอนปี 4 ซึ่งเป็นยุคเซ็นเตอร์พอยท์ สยามสแควร์เริ่มมีร้านค้าเล็กๆ ที่มีสไตล์เป็นของตัวเองผุดขึ้นมากมาย วัยรุ่นยุคนั้นยังแต่งตัวเหมือนๆกัน แห่ถือกระเป๋าหลุยส์รุ่นขนมจีบ การเปิดเซ็นเตอร์พอยท์ทำให้ป้อมองเห็นโอกาส มองเห็นความต้องการสินค้าดีไซน์ใหม่ๆในตลาด”

“ป้อก็เหมือนวัยรุ่นผู้หญิงทั่วไป มีสังคม อยากแต่งตัวสวย แต่ไม่มีเงินซื้อแบรนด์เนม ป้อจึงมักทำของใช้เอง แฮนด์เมดไม่ซ้ำใคร พอเห็นมีร้านใหม่ๆเปิดที่เซ็นเตอร์พอยท์ ป้อจึงคิดทำสินค้าส่งขาย เริ่มต้นที่กระเป๋า ใบแรกออกแบบเป็น Patch Work สลับสี สมัยนั้นยังไม่มีกูเกิล ต้องเปิดสมุดปกเหลือง ใช้โทรศัพท์สาธารณะหยอดเหรียญ โทร.หาโรงงาน จนไปเจอเถ้าแก่เนี้ยคนหนึ่ง ขอเข้าไปคุย บอกเราไม่มีทุน ช่วยผลิตกระเป๋าตัวอย่างให้ 1 ใบ จะเอาไปขาย ถ้ามีออเดอร์ค่อยสั่งผลิต มันคือการพรีออเดอร์ในยุคนี้ แต่ตอนนั้นป้อแค่ไม่มีทุนที่จะจ้างผลิตลอตใหญ่ เขายอมช่วย พอเอาไปเสนอขายร้านในสยาม ปรากฏหลายร้านสั่งซื้อ ขายดิบขายดี ป้อบวกกำไรเกือบครึ่ง เพราะรู้ราคาหน้าร้านอยู่ ป้อจึงได้กำเงินแสนตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งยังเรียนไม่จบ”

ทำกระเป๋าส่งขายร้านในสยามเฟื่องฟู เรียนจบจุฬาปุ๊บ คุณป้อสยายปีก เปิดร้านเองภายใต้ 6 แบรนด์ยึดหัวหาดย่านสยาม ภายในปี 2544 คุณป้อในวัย 23 มีเงินเข้ากระเป๋าเฉียดร้อยล้านเป็นที่เรียบร้อย เพิ่มสินค้าจากกระเป๋า เป็นเสื้อผ้าแฟชั่น จนถึงรองเท้า เช่นเคย...เธอมองเห็นความต้องการของตลาด ที่ตอนนั้นรองเท้าดีๆ สูงๆ สวยๆ ต้องมาจากฮ่องกงเท่านั้น

ซัพพลายเออร์แรกของรองเท้าเครือ SHU เป็นผู้ค้าแผงแบกะดินแถวจตุจักรที่คุณป้อลงไปเดินสำรวจตลาดเอง เป็นรองเท้าหัวใหญ่ปิดหัว หุ้มด้วยผ้ากระสอบเพนต์ลวดลาย เอามาปรับเสริมส้นให้สูงขึ้น วางขายปุ๊บ ฮิตสนั่น วัยรุ่นสยามสมัยนั้น เดินมา 10 คนต้องมี 1 คนใส่รองเท้ารุ่นนี้

รุ่งเรืองอยู่หลายปี คุณป้อถูกพิษเศรษฐกิจเล่นงานจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ช่วงปี 2550-2551 รวมทั้งการเปิดโซนโบนันซ่าในสยามสแควร์ ขายรองเท้าคู่ละ 199-299 บาท และการถูกเลียนแบบได้โดยง่ายจากการจ้างโรงงานผลิต เธอจึงริเริ่มเปิดโรงงานรองเท้าของตัวเอง ลงทุนไปเรียนทำรองเท้า ชวนครูสอนทำรองเท้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ เปิดตัวแบรนด์ “Shuberry” ขยายช่องทางขายเข้าห้างสรรพสินค้ากว่า 10 แห่ง นำไปสู่การเติบโตแบบก้าวกระโดด ทำยอดขายเฉลี่ยปีละ 100 ล้านต้นๆ “ส่วนร้านในสยาม ยังคงอยู่แต่ลดจำนวนลง วางจุดขายในราคาสูงหน่อย ส่วนในห้างเป็นรุ่นราคาจับต้องได้”

พอธุรกิจอยู่ตัว ช่วงเวลานี้เธออธิบายว่าเป็นช่วง “สุขอยู่ในพื้นที่เดิม” (Comfort Zone) ไม่รู้สึกว่าต้องปรับเปลี่ยน เพราะรองเท้าของเธอสวยพอแล้ว จนวันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุข้อเท้าหัก ได้โรครองช้ำมาเป็นของแถม “ป้อคิดได้ตอนนอนอยู่บนเตียง อยากให้ SHU เป็นรองเท้าที่ทั้งมีสไตล์และใส่สบาย รู้สึกว่าการรักษาสุขภาพเท้าเป็นเรื่องสำคัญมาก จึงคิดค้นวัสดุที่จะเอามาใช้ทำพื้น ต้องนิ่มแต่คงตัว จนมาจบที่ซิลิโคนเสริมหน้าอก และที่เป็นที่มาของเทคโนโลยีรองเท้า “Sofa SHU” ซึ่งได้รางวัลนวัตกรรมจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
เมื่อปี 2556 ทำให้ SHU เป็นที่สนใจมากมายจนทุกวันนี้”

จากวันที่เริ่มต้นธุรกิจซึ่งมีรายได้เป็นตัวตั้ง ปัจจุบันคุณป้อกำลังมองหาความมั่นคง เพราะเธอต้องรับผิดชอบชีวิตของทีมงานอีกกว่า 100 คน เมื่อมองว่าความมั่งคงมาจากแบรนด์ที่แข็งแกร่ง จึงตัดสินใจรีแบรนด์ใช้ชื่อ “SHU” ในปี 2561 ตั้งแต่นั้นมา ทำกำไรเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ยอดขายปี 2567 อยู่ที่ 300 ล้านบาท

ถามถึง Business on my way เพื่อปิดจบบทสนทนาที่สนุกสนาน คุณป้อตอบอย่างไม่ลังเลว่า ต้องมองความต้องการของตลาดให้ขาด ทำ สินค้าให้ตอบสนอง เรียนรู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมีสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกมากมาย หยุดนิ่งไม่ได้ รวมทั้งต้องยืดหยุ่นต่อการปรับเปลี่ยนเสมอ.

เลดี้แจน

คลิกอ่านคอลัมน์ “Business on my way” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ