ซึ่งจากข้อมูลได้มีการคาดการณ์ว่าในปี 2567 ธุรกิจต่างๆ จะมีการขยายกิจการและมีการเติบโตมากกว่าปี 2566 โดยเฉพาะธุรกิจแฟรนไชส์ที่ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดราวๆ 3 แสนล้านบาท และอาจจะเติบโต 15-20%
ทั้งนี้ธุรกิจแฟรนไชส์นั้นมีหลากหลายประเภทที่ล้วนแต่น่าจับจอง แล้วหมวดใดจะพาปัง! รับปีมังกรบ้าง ? #Thairath Money จะพาไปสำรวจกับ 5 เทรนด์ธุรกิจแฟรนไชส์ที่ของมันต้องมี!
- แฟรนไชส์อาหาร
ปัจจุบันธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยแฟรนไชส์อาหารยังคงมาแรงอันดับ 1 ในปี 2566 เพราะเป็นแฟรนไชส์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของผู้คน ซึ่งยังต้องกินต้องใช้ จึงไม่แปลกที่กลุ่มนี้จะมียอดการซื้อแฟรนไชส์เติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี
โดยเฉพาะแฟรนไชส์อาหารประเภทแนว Street Food สะดวกทาน ขนมนมเนย เบเกอรี่ต่างๆ ยังคงได้รับความนิยม รวมถึงแฟรนไชส์ร้านอาหารขนาดเล็ก ซึ่งคาดว่าในปี 2567 “แฟรนไชส์อาหาร” ยังคงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าลงทุน อาทิ ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว, มินญ่า ขนมบ้าบิ่นและขนมครกสิงคโปร์ ฯลฯ
- แฟรนไชส์เครื่องดื่ม
ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่องแบบไม่หยุดพักสำหรับแฟรนไชส์เครื่องดื่ม เนื่องจากปัจจัยหลายประการทั้งอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น ส่งผลให้คนนิยมทานเครื่องดื่มดับร้อน หรือแม้กระทั่งการพบปะเพื่อนฝูง การเข้าคอมมูนิตี้ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้ “เครื่องดื่ม” ขายดีนั่นเอง
แต่ทั้งนี้แฟรนไชส์เครื่องดื่มมีหลากหลายประเภททั้ง กาแฟ อย่างเช่น กาแฟพันธุ์ไทย, Star Coffee, ชานมไข่มุก เช่น GAGA เป็นต้น หรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอย่าง Yoguruto (โยกุรูโตะ) โยเกิร์ตพร้อมดื่ม ที่ค่าแฟรนไชส์เริ่มต้นเพียง 95,000 บาท, น้ำเต้าหู้ปั่น SOYA BRAND ที่มีกว่า 50 สาขา โดยใช้งบลงทุนเพียง 2.99 พัน-2.99 หมื่นบาท สุดท้ายคือ วัวล้วนล้วน ไม่มีควายผสม ที่ค่าแฟรนไชส์เริ่มต้น 200,000 บาท
- แฟรนไชส์เกี่ยวกับความงามและการแพทย์
ยังบูมอย่างต่อเนื่องกับธุรกิจที่เกี่ยวกับเรื่องความสวยความงามและการแพทย์ เพราะความสวยรอไม่ได้นั่นเอง ทั้งนี้จากการคาดการณ์พบว่ามูลค่าตลาดความงามจะสูงถึง 1.31 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 หมายความว่าอัตราการเติบโตในธุรกิจนี้ยังคงก้าวกระโดด โดยที่อัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ในช่วงระหว่าง 2565-2573 อยู่ที่ 9.7% แน่นอนว่าเทรนด์ความงามยุคนี้ต้องเหมารวมเรื่องสินค้าเพื่อสุขภาพเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ส่วนตัวอย่างของธุรกิจในหมวดนี้ เช่น อายตานิค บิวตี้แคร์, McFin Skincare
- แฟรนไชส์ค้าปลีก
นับได้ว่ามีการเติบโตและขยายกิจการได้อย่างต่อเนื่องในปี 2566 เนื่องจากสินค้าอุปโภค บริโภค เป็นสิ่งที่จำเป็นที่คนยังต้องกินต้องใช้ อีกทั้งมาตรการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่จะมาช่วยหนุนธุรกิจนี้ให้เติบโตยิ่งขึ้น โดยแฟรนไชส์ในหมวดนี้ไม่ว่าจะเป็น ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของชำ ร้านขายอุปกรณ์สำนักงาน ร้านขายของราคาเดียว 20 บาท ฯลฯ
จึงถือได้ว่าการลงทุนเปิดร้านค้าขายสินค้าเบ็ดเตล็ดต่างๆ นับว่าน่าสนใจไม่น้อย เพราะนอกจากจะขายหน้าร้านแล้วนั้น ยังเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ร่วมได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น เซเว่นอีเลฟเว่น, ถูกดีมีมาตรฐาน, ทัดดาวทุกอย่าง 20 ฯลฯ
- แฟรนไชส์เวนดิ้ง แมชชีน
แฟรนไชส์กลุ่มนี้เป็นธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นตู้จำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม เบเกอรี่ รวมไปถึงแฟรนไชส์เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้าแบบครบวงจร เครื่องเติมเงิน ซึ่งในปี 2566 ธุรกิจเวนดิ้ง แมชชีน จะได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในปี 2567 ก็เช่นเดียวกัน
เนื่องจากพื้นที่ในการค้าขายสินค้าแทบจะลดขนาดลงทุกปี ด้วยปัจจัยเรื่องค่าเช่าที่ ค่าไฟ ค่าน้ำ ที่ดูเหมือนจะไม่มีท่าทีลดลง นั่นจึงทำให้แฟรนไชส์กลุ่มเวนดิ้งแมชชีน ขยายสาขากันแทบทุกมุมตึก
เพราะด้วยความนิยมที่มาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ชอบความสะดวกสบาย รวดเร็ว จึงทำให้แฟรนไชส์ตู้หยอดเหรียญ กลายเป็นธุรกิจรับทรัพย์เข้ากระเป๋าตลอด 24 ชม. ไม่ว่าจะเป็น เต่าบิน, 24WASH, ตู้บุญเติม, ตู้เติมน้ำมัน พลัส ออยล์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามแม้ “แฟรนไชส์” จะเป็นตัวช่วยที่ดี แต่ก็มีข้อเสียอยู่ด้วยเป็นเรื่องธรรมดา นั่นก็คือ ต้องทำตามระบบ ไม่มีความเป็นอิสระ ฯลฯ ทำให้การเลือกลงทุนในแฟรนไชส์มีความสำคัญอย่างมาก เพราะด้วยยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง แฟรนไชส์จึงไม่ใช่ธุรกิจที่ได้รับการประกันอย่างแน่นอนว่า จะสำเร็จ มีกำไร หรือไม่เจ๊ง
ดังนั้นการลงทุนที่ “ใช่” จึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการเลือกแฟรนไชส์ที่ดี ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ความมุ่งมั่นของผู้ลงทุน อีกทั้งโลเคชั่นที่เหมาะสม เพราะหากเลือกถูกก็จะ “ปัง” ได้ง่ายๆ แต่หากเลือกผิดผลที่ตามมาคือ “ความล้มเหลว” ของแทร่นั่นเอง