“ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้” แลนด์มาร์กของคนรักกีฬา ที่ตีไม่เป็นก็เล่นได้ ตั้งเป้าดึงลูกค้ากว่า 5 แสนคน/ปี

Business & Marketing

Marketing & Trends

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

“ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้” แลนด์มาร์กของคนรักกีฬา ที่ตีไม่เป็นก็เล่นได้ ตั้งเป้าดึงลูกค้ากว่า 5 แสนคน/ปี

Date Time: 2 ส.ค. 2566 18:46 น.

Video

“Bulgari” ไทยโอกาสใหม่ Luxury | Brand Story Exclusive EP.5

Summary

  • จากการเรียกกระแสฮือฮาให้กับวงการกอล์ฟไทยไปเมื่อปีที่ผ่านมา กับการเข้ามาเจาะตลาดในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ด้วยการเปิดตัว “ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้” แลนด์มาร์กสำหรับคนรักกีฬา และความบันเทิงครบวงจรของกรุงเทพฯ

Latest


ที่นับเป็นแบรนด์สนามไดร์ฟกอล์ฟชื่อดังระดับโลก โดยเปิดมาแล้วกว่า 100 สาขาทั่วโลก ใน 8 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จีน ดูไบ ฯลฯ ซึ่งในครั้งนี้ได้ปักหมุดที่ประเทศไทย บนพื้นที่กว่า 31 ไร่ 


ด้วยจุดเด่นด้านการผสานสนามกอล์ฟโดยใช้การเล่นเกมที่ทันสมัย เข้ากับเอนเตอร์เทนเมนต์ อาหาร และเครื่องดื่ม ทำให้ในปีแรกที่เปิดให้บริการ ท็อปกอล์ฟฯ มีส่วนช่วยเพิ่มจำนวนการตีลูกกอล์ฟไปแล้วมากกว่า 6 ล้านลูก จากเป้าหมายของท็อปกอล์ฟ โกลบอล ในการบรรลุเป้าหมายการตีลูกกอล์ฟ 50,000 ล้านลูกทั่วโลกภายในปี 2568


ทั้งนี้ “ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้” อยู่ภายใต้การบริหารของ บริษัท ทีจี เอสอีเอ ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (TG SEA Development Pte Ltd) ผู้พัฒนาท็อปกอล์ฟแต่เพียงผู้เดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทยและเวียดนาม 


ทิม โบดา กรรมการผู้จัดการ ท็อปกอล์ฟ ประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วงปีแรกที่ผ่านมาเราใช้ความมุ่งมั่นในการทำการตลาด สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักว่า “Topgolf for everyone” แม้ว่าอาจจะไม่คุ้นชินกับตลาดเมืองไทยมากนัก 

ทั้งนี้ในช่วง 6 เดือนแรกมีนักกอล์ฟเข้ามาใช้บริการ 90% และช่วงครึ่งปีหลังเราสามารถเจาะกลุ่มคนที่ไม่เคยตีกอล์ฟได้เพิ่มมากขึ้นถึง 70% ขณะเดียวกันตั้งแต่มกราคม-มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมามี Traffic ของลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากกว่า 1 แสนคน และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีลูกค้ามาใช้บริการรวมกว่า 2.5 แสนคน รวมทั้งปีภาพรวมจะอยู่ที่ 3.5 แสนคน ขณะเดียวกันตั้งเป้าในปี 2567 จะอยู่ที่ 5 แสนคน ถือเป็นการผลักดันกีฬากอล์ฟให้กับประเทศไทยอีกทางหนึ่ง


ส่วนทางด้านสัดส่วนรายได้จะมาจากลูกค้าทั่วไป 70% ส่วนอีก 30% คือลูกค้ากลุ่มองค์กร  อีกทั้ง 90% เป็นคนไทย และ 10% คือชาวต่างชาติ โดยอีเวนต์ที่ใหญ่ที่สุดในปีแรก เป็นกิจกรรมที่จัดต่อเนื่องติดต่อกัน 4 วัน และมีผู้เข้าร่วมถึง 5,000 คน  ในช่วงปีแรกองค์กรที่มาจัดงานที่ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ นั้นมาจากหลากหลายแวดวงธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมยานยนต์ เภสัชกรรม สถาบันการเงิน รวมถึงอุตสาหกรรมการผลิต การศึกษา 


“ด้วยเป้าหมายในการดึงดูดให้คนหันมาเล่นกอล์ฟแนวใหม่กันมากขึ้น ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ เข้ามาทำให้กอล์ฟกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ด้วยเกมที่มีความสนุก ทุกคนเล่นได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีทักษะด้านกอล์ฟ ในปีแรก ลูกค้า 2 ใน 3 ของท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ มาจากกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้เล่นกอล์ฟ และเกือบครึ่งหนึ่งเป็นลูกค้าผู้หญิง ซึ่งรูปแบบของเกมของท็อปกอล์ฟนั้น ได้ถูกออกแบบมาให้เหมาะสำหรับคนทุกเพศ ทุกวัย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้เล่นใหม่ๆ โดยประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ที่มาใช้บริการ ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้นั้น มีอายุระหว่าง 20-35 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความดึงดูดของ ท็อปกอล์ฟ ต่อกลุ่มผู้เล่นที่อายุยังน้อย ชี้ให้เห็นถึงโอกาสเติบโตที่ยั่งยืนของ ท็อปกอล์ฟ และกีฬากอล์ฟในประเทศไทย”  


ขณะเดียวกันด้วยกิจกรรมองค์กร นับเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยดึงดูดผู้เล่นใหม่ๆ ซึ่ง ท็อปกอล์ฟ ถือเป็นสถานที่ครบวงจรสำหรับกิจกรรม Team Building การประชุม งานเปิดตัวสินค้า และงานเลี้ยงประจำปี ด้วยฮิตติ้งเบย์ถึง 102 เบย์ ที่สามารถรองรับผู้เล่นได้ถึง 6 คนต่อเบย์ บาร์และร้านอาหารรวม 5 ร้าน ทำให้ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ กลายเป็นพื้นที่จัดงานยอดนิยมแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ได้อย่างง่ายดาย


สำหรับแผนดำเนินการต่อไปของท็อปกอล์ฟ เตรียมเปิดตัวแห่งที่สองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จาการ์ตา ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง และตั้งเป้าที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 โดยปัจจัยหลักๆ ในการเปิดสาขานั้นจะมาจากการมองพื้นที่ที่ตอบสนองกลุ่มลูกค้าเป็นหลัก และเป็นพื้นที่ยอดนิยมของกลุ่มองค์กร 


นอกจากนี้ ท็อปกอล์ฟยังมองหาโอกาสในการขยายโครงการในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม อีกด้วย


จึงถือได้ว่า “กอล์ฟ” ไม่เพียงแต่เป็นกีฬาเท่านั้นแต่ยังกลายเป็นเทรนด์ และแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งสนามกอล์ฟในประเทศไทยเองก็ถือได้ว่ามีศักยภาพ และความหลากหลายไม่เป็นสองรองใคร และด้วยจุดหมายปลายทางสนามกอล์ฟยอดนิยมที่บรรดานักท่องเที่ยว และผู้เล่นรู้จักกันเป็นอย่างดีอย่างกรุงเทพฯ, ภูเก็ต, หัวหิน และชลบุรี จึงทำให้ “ธุรกิจกอล์ฟ” ที่มีความหลากหลายทั้งด้านของราคา ตั้งแต่ราคาถูกไปจนถึงราคาระดับหรูจึงเติบโตอย่างเห็นได้ชัด 


จึงไม่แปลกใจที่ปัจจุบันจะมี “สนามกอล์ฟ” ผุดขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหากมีการผลักดันด้านการเล่นกีฬากอล์ฟมากขึ้น คงจะสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศเพิ่มขึ้นได้อีกช่องทางหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ...


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ