
สำหรับ “โอ๊ต ปราโมทย์ ปาทาน” ที่เมื่อพูดชื่อหลายคนก็คงจะอ๋อ! กับเพลงอย่าง ที่รัก หรือ คิดถึงจัง (มาหาหน่อย) และนอกจากงานเพลงจะเปรี้ยงปร้างจนคิวงานชุกทุกวี่วันแล้ว แต่อีกหนึ่งบทบาทที่เขาก็ทำได้ดีไม่แพ้กันนั่นก็คือการบริหาร “โคตรคูล” บริษัทผลิตคอนเทนต์รายการออนไลน์ที่ดูเหมือนกับว่าจะไปได้ดีสุดๆ จนมีกระแสพูดถึงอย่างต่อเนื่อง และฮิตติดลมบนไปแล้วหลายรายการ
ในครั้งนี้ #Thairath Money จะพาไปพูดคุยกับ ศิลปินหุ่นหมีเสียงดี ที่มีดีกรีความฮา และแนวคิดดีๆ ในมุมที่เราไม่เคยเห็นกัน
เริ่มแรกเมื่อถามถึงจุดเริ่มต้นของการเป็น Youtuber ของ “โอ๊ต ปราโมทย์” เขาแย้งขึ้นมาว่า ตัวเองไม่ได้รู้สึกว่าเป็น Youtuber เต็มตัว เนื่องจากนั่งในส่วนของการบริหารด้วย รวมทั้งยังเป็นศิลปินและนักแสดงอยู่ แต่มองว่าตัวเองเป็น Entertainer ที่เป็น Hy-brid เพราะในพาสออฟไลน์ก็ยังคงอยู่
คงจะเริ่มมาจากวันที่เหลือสัญญากับค่ายเพลงชื่อดังอีกไม่กี่ปี ซึ่งตอนนั้นเริ่มทำ The driver และ EFM จันทร์ Shock โลก จึงเริ่มรู้สึกว่าเวลาไปต่างจังหวัดมีคนมาทักบ่อยว่า “สนุก” เราจึงคิดว่าจะสามารถทำอะไรที่ต่อยอดได้บ้าง
ซึ่งในระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ประกอบกับ Income ของดีเจไม่ได้เยอะ จึงรู้สึกว่าเงินคงไม่พอใช้ จึงคิดขึ้นมาว่าจะ Spin off ออกมา จนกลายมาเป็นรายการ “คนหน้าหมี” ขึ้นมาเป็นรายการแรก โดยส่งไปในกรุ๊ป LINE ให้ทุกคนได้ดู ผลปรากฏว่ายอดวิวทุกแพลตฟอร์มคือ 1 ล้านวิว แต่แค่ EP แรกทำเอาเดือด โดนกระแสตีกลับยับ โดยหลายคนมองว่าเป็น Sexual Harassment การคุกคามทางเพศด้วยคำพูด ซึ่งจากที่สำเร็จ กลับขึ้นเทรนด์ Twitter อันดับ 1 และโดนถล่มเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น
และจากความ Error ที่เกิดขึ้นทำให้เราลบ EP.1 ทันที เพื่อแสดงความรับผิดชอบ แต่ทั้งนี้หากย้อนกลับไปสักประมาณ 5-6 ปีที่ผ่านมา คำว่า Sexual Harassment มันใหม่มาก คือ เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำมันขนาดไหน และเส้นแบ่งมันอยู่ตรงไหน และสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด ซึ่งมันเหมือนกับการตกสวรรค์อย่างไม่ทันตั้งตัว ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความที่เป็นคนของสังคมหากโยนหินลงไปบนน้ำทั้งที่ไม่รู้น้ำหนักของหินก่อนนั้น แต่นอนว่าแรงกระเพื่อมย่อมสูงตามมา จึงเป็นจุดเปลี่ยนให้เขาคิดที่จะปรับคอนเทนต์ให้สอดรับกับสังคมไทยมากขึ้น
และเมื่อครั้งแรกที่เริ่มต้นด้วยความผิดหวัง จนกระทั่งเขาไม่ยอมแพ้ฝ่าฟันจนกลายมาเป็น “โคตรคูล” ในทุกวันนี้ เพราะเขามองว่า “ถ้าหากทำอะไรแล้วหยุดทำแสดงว่าแพ้” ดังนั้นเขาจึงสู้และทำคนหน้าหมีไปอีก 20 อีพี จนเริ่มรับพนักงาน โดยพนักงานคนแรกเป็น “เลขาฯ” ที่มีความเป็น Multitasking
ทั้งนี้เมื่อถามถึงการเจอ “คาแรกเตอร์ตัวเอง” และช่องได้ยังไงนั้น เพราะในยุคสมัยที่คนชอบความเรียล การกล้าเล่นมุก เขาเล่าว่า ด้วยความที่เรามีเพื่อนทุกกลุ่ม เราเห็นเลเยอร์ต่างๆ ของสังคมมากขึ้น และอยู่ในหลายๆ กลุ่ม ทำให้หล่อหลอมให้กลายเป็น “โอ๊ต ปราโมทย์” ทุกวันนี้
ฉะนั้นวิธีการพูด เรียนรู้ จึงสามารถเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม อีกทั้งการปรับจูน หรือที่เรียกว่า learning by doing ก็ให้เขาเข้ากับคนดูทุกเซกเมนต์ จึงถือได้ว่า ณ ตอนนี้ โอ๊ตปราโมทย์ ไม่ใช่นักมวยที่เพิ่งขึ้นมาชิงเข็มขัด แต่เป็นนักมวยที่มีประสบการณ์ และรู้ชั้นเชิงจากการผ่านสังเวียนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็คือการได้รับคอมเมนต์จากชาวเน็ต หรือ ผู้ชม จากนั้นจึงนำมาประยุกต์ใช้ให้คอนเทนต์สามารถตอบโจทย์ผู้ชมได้นั่นเอง
ส่วนเวลาคิดรายการ เขาจะคิดโดยมีแกนรายการก่อน และค่อยนำส่วนอื่นมาเติม โดยจะไม่ทำคอนเทนต์ฉาบฉวย ไม่วิ่งตามโลก หรือตามกระแส อย่างเช่น จีบหนูหน่อย ที่บางคนอาจจะได้รับความสนุก แต่จริงๆ แล้วมีการเอาคนทุกเพศ วัย อาชีพ ทุกเลเยอร์ในสังคมมา เพื่อฉายภาพว่าทุกคนผิดหวังเรื่องความรักได้หมด ไม่จำเป็นต้องหล่อ สวย และคนจะอินกับเรื่องพวกนี้ได้ไม่ยาก จนวันนี้จีบหนูหน่อยมีกว่า 200 อีพี
ส่วน “โคตรคูล” มาจากคำพูดติดปากตอนทำ รายการ Driver ซึ่งเป็นคำพูดที่พูดกันในกลุ่ม จึงลองจดบริษัทชื่อนี้ และทุกวันนี้โคตรคูลสปินออกเป็น โคตรคูลมิวสิก โคตรคูลเกมมิ่ง และกำลังจะมีโคตรคูลซัพพลาย ขณะที่แบรนดิ้งโคตรคูลกับโอ๊ต เป็นแบรนดิ้งเดียวกัน เนื่องจากถือเป็นแบนเนอร์ไปแล้ว ทั้งนี้บริษัท โคตรคูล จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2560 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท
เขามองว่าไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะเป็นความชอบส่วนตัว และนำมาปรับใช้ ดังนั้นจะต้องดูให้เยอะ อย่างเช่น รายการต่างประเทศ จากนั้นนำมาปรับใช้ แต่ต้องอย่าลืมว่า “ไม่มีอะไรที่คนจะชอบตลอดไป”
เขามองว่าอย่างแรกถ้าจะให้เด็กเชื่อคุณต้องเก่ง ถ้าไม่เก่งเด็กจะไม่เชื่อ เพราะเขาตั้งคำถามว่าสิ่งที่เขาทำเพื่ออะไร และอยากได้อะไร ฉะนั้นอย่างน้อยถ้าไม่ได้เก่งกว่า ต้องรู้อะไรให้เท่า แต่ในระหว่างที่คุณไม่รู้คุณต้องกล้าที่จะถามอย่ามีทิฐิ เพราะคนเราเติบโตมาไม่เหมือนกัน เนื่องด้วยมี Generation Gap ฉะนั้นสิ่งที่จะดีที่สุดคือ คลุกคลีและทำงานด้วยความเป็นเพื่อน พี่ น้อง
ผ่านจากวันแรกของคนหน้าหมี และปรับรายการไปเรื่อยๆ เขายังคงอ่านคอนเมนต์ทุกคลิป มอนิเตอร์ตลอด และนำมาปรับปรุงตัวเอง ส่วนการที่คิดว่ารายการที่เราทำจะไปต่อหรือไม่เขามีมาตรวัดคือ จะทำเดโม่ก่อนว่าสนุกไหม ถ้าสนุกก็กล้าปล่อย ส่วนอีพี 1-10 เป็นช่วงของการทดลอง จะยังไม่ดีที่สุด เพื่อให้เราปรับปรุงได้ ผ่านคอมเมนต์จากคนดู
เพราะเวลาปล่อยรายการใหม่กราฟของโซเชียลจะสูง แต่พอสักอีพี 5-10 จะลง และจะกลับมาจนเจอตรงกลาง ดังนั้นเมื่อไรที่เจอตรงกลางและนำคอมเมนต์มาปรับปรุง จะเจอค่ากลางของรายการนั่นเอง รวมทั้งหากเราทำรายการต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุด ก็จะสามารถรักษาอัลกอลิทึมได้ และจะเจอความสำเร็จเอง ดังนั้นต้องลงทุน ลงแรง หว่านเมล็ดเอาไว้และวันหนึ่งมันจะงอกงาม และอย่าทำส่งๆ และรับฟังคอมเมนต์คนดู
ถือได้ว่า “โอ๊ต ปราโมทย์” ในวันนี้อยู่ทั้งในโลกออฟไลน์ และออนไลน์ โดยที่ไม่ทิ้งโลกใดโลกหนึ่งไปเลย เพราะเขาเป็นคนที่มีความคิดว่า “เราไม่รู้อนาคต วันที่เราไม่รู้จัก YouTube เราไม่รู้ว่าวันหนึ่งโลกออฟไลน์จะแย่ แต่จะแน่ใจได้ไงว่า YouTube จะสร้างรายได้ให้กับเราไปตลอด เพราะในปัจจุบันมีแพลตฟอร์มใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน
ดังนั้นเราจึงไม่เคยทิ้งภาพยนตร์ ซีรีส์ การร้องเพลง เพราะโลกออฟไลน์ ก็สำคัญพอๆกับออนไลน์ ฉะนั้นต้องเบลนทั้งสองโลกให้เข้ากัน ส่วนหลักสำคัญที่จะทำให้เราตอบรับกับทุกแพลตฟอร์มได้นั้น จะมาจากการที่เราให้ความสำคัญกับทุกๆ ด้าน ทุกๆ ช่องทาง เราตัดงานที่เราทำเพื่อออนในทุกแพลตฟอร์ม ผ่านการทำเป็น “ครัวกลาง” เพื่อเสิร์ฟและเติมความพิเศษในแต่ละแพลตฟอร์มได้อย่างลงตัว
แน่นอนว่านอกจากจะมีแนวคิดในการผลิตรายการ หรือ ผลงานดีๆ แล้ว อีกสิ่งหนึ่งคือ ต้องรู้จักที่จะพัฒนาต่อยอดคอนเทนต์ และรายการให้หลากหลาย เหมาะสมกับยุคนั้นๆ รวมทั้งรักษาสายป่านของตนเองให้ดี เปิดใจรับฟังคอมเมนต์จากรอบด้านเพื่อนำไปสู่ “ตรงกลาง” ที่จะสมดุล จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชื่อของ “โอ๊ต ปราโมทย์” ถึงกลายเป็นที่รู้จักมาจนถึงทุกวันนี้ และรายการแต่ละรายการที่เขาทำถึงได้รับความนิยม จนสามารถสร้างรายได้ได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริษัทฯ ยังติดโพล 1 ใน 50 สุดยอดองค์กรในฝันของคนรุ่นใหม่อีกด้วยเช่นกัน...