
จุดเริ่มต้นสเปรย์ปรับอากาศ "คิงส์สเตลล่า" เมื่อ 60 ปีก่อน ลูกค้ากลุ่มแรกคือ บาร์ อาบอบนวด โรงแรม คาเฟ่ มาวันนี้แตกไลน์โปรดักส์ต่างๆ ทุ่มงบ 250 ล้านบาท เตรียมโกยรายได้ทะลุ 2,000 ล้านบาททั้งในประเทศ และต่างประเทศ
นายชนะพันธุ์ กิตติเกษมศักดิ์ ประธานกรรมการ บริษัท คิงส์สเตลล่า กรุ๊ป จำกัด หรือ KSG กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของสเปรย์ปรับอากาศ คิงส์สเตลล่าว่า หากย้อนกลับไปเมื่อ 60 ปี บริษัทตั้งยุคคุณพ่อสุเทพ กิตติเกษมศักดิ์ ตั้งแต่ปี 2506 เป็นต้นมา โดยเริ่มจำหน่ายตามสถานบันเทิงก่อน เช่น บาร์, คาเฟ่ และเริ่มขยายไปยังห้างสรรพสินค้า และร้านค้าต่างๆ
"เมื่อก่อนลูกค้าทาร์เก็ตใหญ่ของเราจะเป็นบาร์ อาบอบนวด โรงแรม และคาเฟ่เต้นรำ เนื่องจากสมัยก่อนมีการสูบบุหรี่ในอาคาร ทำให้มีปัญหาเรื่องกลิ่น จึงทำให้สเปรย์ดับกลิ่นกลายเป็นสินค้าจำเป็น"
ปัจจุบันคิงส์สเตลล่า กรุ๊ป มีธุรกิจอยู่ 5 กลุ่ม ด้วยกัน ได้แก่ Air Care, Home Care, Car Care, Pet Care และ Personal Care สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ในหลากหลายตลาด โดยเฉพาะในกลุ่ม Personal Care ที่มีเจลล้างมือ King’s Stella Hand Sanitizer ซึ่งเป็นสินค้าที่มียอดขายดีเป็นอย่างมากในช่วงที่โควิดระบาด โดยซึ่งมียอดขายมากกว่า 100 ล้านบาทในช่วงนั้น รวม King's Stella Freshy Bear Gel เจลน้ำหอมปรับอากาศหมีคิงส์ หรือที่เรียกติดปากว่า เจลหมีซิ่ง หรือน้ำหอมหมีซิ่ง
ขณะที่กลุ่ม Pet Care ซึ่งมีแบรนด์เรือธงอย่าง BEARING Petcare ในการเข้าทำตลาด โดยมีผลิตภัณฑ์แชมพูกำจัดเห็บหมัดสำหรับสัตว์เลี้ยง BEARING Tick & Flea Dog Shampoo โดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับหนึ่งในผลิตภัณฑ์แชมพูสำหรับสัตว์เลี้ยง ในร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง ทำให้เราได้ลงทุนในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงไปมากกว่า 100 ล้านบาท โดยเป็นแผนนับตั้งแต่ปี 2563-2567
นอกจากนี้เรายังมี President's WaxOne ถือเป็นผู้บุกเบิกตลาดคาร์แคร์ในไทยนับตั้งแต่ปี 2516 โดยเป็นสเปรย์บำรุงรักษาเครื่องหนังรายแรกของไทย และยังครองความเป็นผู้นำตลาดในเวียดนามอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม จากวิกฤติราคาพลังงานที่ทำให้ต้นทุนทางการดำเนินธุรกิจมีการปรับตัวสูงขึ้นนั้น บริษัทฯ มีนโยบายคือจะปรับราคาสินค้าหลังสุดในตลาด หากไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนได้จริงๆ โดยที่ผ่านมาต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทฯ เฉลี่ยแล้วมีการปรับขึ้นมากถึง 30% ซึ่งทำให้บริษัทฯ ต้องมีการปรับตัวในการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แม้ว่าเราจะเลือกปรับราคาหลังสุด แต่ก็มองว่าจะกระทบต่อการทำกำไรของบริษัทฯ ในระยะสั้น แต่จะเป็นการสร้างความประทับใจในระยะยาวให้กับลูกค้ามากกว่า เนื่องจากลูกค้าจะเข้าใจบริษัทฯ ที่ช่วยเหลือค่าครองชีพผู้บริโภคโดยการประคองราคาในส่วนนี้ไว้ให้นานที่สุด
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจปี 2566 นี้ มองว่า การท่องเที่ยวเริ่มมีการขยายตัวเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเข้ามา แน่นอนว่าภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนับเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย และจะทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคได้รับอานิสงส์ที่ดีจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย
ด้านนายชุติพนธ์ กิตติเกษมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คิงส์สเตลล่า กรุ๊ป กล่าวว่า แนวทางในการดำเนินธุรกิจในช่วง 5 ปีนับจากนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 250 ล้านบาท เพื่อทำการพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด และทำการตลาดให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อผลักดันเป้าหมายรายได้ให้เพิ่มขึ้นมาเป็น 2,000 ล้านบาท โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีวิกฤติจากการแพร่ของโควิด-19 แต่ก็ยังมีการเติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี มองว่าจากปัจจัยบวกของเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงการขยายตลาดของบริษัทฯ ในปีนี้จะทำให้มีรายได้ 1,000 ล้านบาท
โดยหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายการดำเนินธุรกิจข้างต้นนั้น มองว่าการขยายตลาดต่างประเทศจะทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก จากปัจจุบัน ได้มีการส่งออกไปยัง 13 ประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 15-20% โดยตลาดส่งออกมีการเติบโตค่อนข้างดีตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา
สำหรับแผนงานที่จะโฟกัสคือการเข้าไปลงทุนสร้างเครือข่าย Global Distribution เพื่อจัดส่งสินค้าให้ถึงผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด จากเดิมที่ตลาดส่งออกจะเป็นในลักษณะของผู้นำเข้าซื้อไปเพื่อจำหน่ายต่อ แต่จากนี้จะมีการลงทุนในประเทศปลายทางที่ตลาดมีศักยภาพ เนื่องจากสามารถดูแลลูกค้าได้ดีกว่า
"แต่เดิมเรามีการส่งออกสินค้าทั้ง 5 กลุ่ม ผ่านดิสทิบิวเตอร์อยู่แล้วกว่า 13 ประเทศ ทั้งในอาเซียนและใกล้เคียง จากนี้จะเน้นเข้าไปลงทุน จัดตั้งบริษัท และทำการตลาดเองมากขึ้น เช่น เวียดนาม เน้นในกลุ่ม PET CARE เพราะเป็นตลาดที่เติบโตอย่างมากตามด้วยอินเดีย ภายในไตรมาส 2/66 นี้เราจะเข้าไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทที่นั่น เน้นในกลุ่ม PET CARE เช่นกัน และในช่วงไตรมาสสี่จะเข้าไปลงทุนในฟิลิปปินส์ เน้นกลุ่ม AIR CARE และ CAR CARE ส่วนปีหน้าจะเป็นอินโดนีเซีย นอกจากนี้ยังศึกษาความเป็นไปได้ในตลาดซาอุดีอาระเบียด้วย"