
ตลาดการศึกษานานาชาติในประเทศไทยเป็นตลาดที่เป็นที่สนใจ จากกลุ่มทุนทั้งใหญ่น้อย และมีการแข่งขันที่รุนแรงพอสมควร เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่มีมูลค่ากว่า โดยมีมูลค่าตลาดประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาท
เนื่องจากระบบการ ศึกษาในประเทศเป็นที่ทราบกันดีว่า หลักสูตรการเรียนการสอนยังมีช่อง ว่างพอสมควรโดยเฉพาะการศึกษาด้านภาษาอังกฤษ
ทำให้บรรดาผู้ปกครองที่พอจะมีฐานะหันส่งลูกหลานไปเรียนในโรงเรียนนานาชาติ ที่แต่ละแห่งเปิดขึ้นมากับหลักสูตร การเรียนการสอนที่มีจุด เด่นแตกต่างกันออกไปตั้งแต่ระดับอนุบาลขึ้นไป
ข้อมูลจากสมาคมโรงเรียนนานาชาติแห่งประเทศไทย ระบุว่าโรงเรียนนานาชาติมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 12% (ย้อนหลัง 8 ปี) โดยปี 2560 มีจำนวน โรงเรียนนานาชาติเพิ่มขึ้นถึง 18-20%
จากสถานการณ์โควิดส่งผลให้อัตราขยายตัวลดลงเหลือเติบโตปีละ 9% เมื่อเทียบกับย้อนหลังไปประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมา ที่มีอัตราการเติบโตแบบตัวเลขสองหลักถึง 4 ปีซ้อน
นับว่าเติบโตสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจังหวัดที่มีการขยายโรงเรียนนานาชาติรองรับความต้องการมากที่สุดได้แก่ กรุงเทพฯ จำนวน 118 แห่ง เชียงใหม่ 16 แห่ง ภูเก็ต 11 แห่ง ชลบุรี 8 แห่ง ปทุมธานี 4 แห่ง นครราชสีมา 4 แห่ง ระยอง 3 แห่ง สระบุรี 3 แห่ง สมุทรปราการ 3 แห่ง หาดใหญ่ (สงขลา) 3 แห่ง สุราษฎร์ธานี 3 แห่ง และนนทบุรี 1 แห่ง
แบ่งเป็นโรงเรียนระดับพรีเมียมกว่า 73 แห่ง โดยมีรายได้รวมจากค่าเล่าเรียนต่อปี 844.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 25,347 ล้านบาท (ข้อมูลจาก ISC Research Ltd)
ล่าสุด โรงเรียนอนุบาลนานาชาติ เฮย์ สคูล กรุงเทพฯ ได้เปิดตัวต้นแบบแห่งแรกในไทย ตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 36 จะเปิดการเรียนการสอนในปีการศึกษาแรกในเดือน ก.ย. 2564 ด้วยการนำระบบการเรียนรู้ผ่านการเล่นจากประเทศฟินแลนด์ ระบบการเรียนที่ให้ผลสูงสุดสำหรับเด็กปฐมวัย เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก
จากข้อมูลศูนย์แห่งชาติด้านการศึกษาและเศรษฐกิจ (National Center On Education and the Economy) ได้จัดอันดับ 10 ประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก ฟินแลนด์ถูกจัดอันดับให้เป็นสุดยอดระบบการศึกษาของโลก
ผลพวงจากการปฏิวัติใหญ่ด้านการศึกษาของฟินแลนด์ทำให้โฉม หน้าการศึกษาเปลี่ยนไปเป็นโมเดลการศึกษาใหม่ที่มีการพัฒนาทั้งระบบ จากแนวคิดพื้นฐานที่ว่าโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รูปแบบชีวิตการทำงานและสังคมก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย จึงได้ทำการเชื่อมโยงโลกสู่การสร้างนวัตกรรมระบบการศึกษาใหม่
จากแรงบันดาลใจที่อยากหาระบบการศึกษาที่ดีที่สุดให้บุตรน้อย และ มอบโอกาสเดียวกันให้กับผู้ปกครองอื่นๆที่อยากให้บุตรหลานอยู่ในบรรยากาศ การเรียนที่สร้างเสริมพัฒนาการและศักยภาพถึงขีดสุด นางพรลดาและนายวศิน วินิชบุตร คุณพ่อ-คุณแม่ที่มีบุตรน้อย เด็กชาย-หญิง อายุ 2.3 ปี และ 1 ปี มีแรงบันดาลใจจากการที่อยากให้บุตรน้อยได้อยู่ในระบบการศึกษาที่ดีที่สุดตั้งแต่ช่วงปฐมวัย
จึงได้บินตรงไปยังประเทศฟินแลนด์เพื่อศึกษาและเจรจาเพิ่มเติม โดยทางฟินแลนด์เห็นความมุ่งมั่น จึงได้ให้สิทธิตรงจากฟินแลนด์ผู้นำระดับโลกด้านระบบการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย เพื่อมอบโอกาสให้กับบุตรหลานของผู้ปกครองอื่นๆ ได้เข้าสู่ระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลกโดยไม่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการส่งลูกน้อยไปเรียนยังต่างประเทศ
สำหรับหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนแบ่งออกเป็น 4 กรอบการเรียนรู้ ผ่าน 10 โมดูลที่สำคัญ ที่เสริมสร้างทักษะและพัฒนาการเด็กเล็กในด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ การค้นพบตนเอง ความถนัด ความคิดสร้างสรรค์ วุฒิภาวะ ความรับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น และสังคม การคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหากับหลักสูตร Pre-Kindergarten และ Kindergarten สำหรับนักเรียนอายุตั้งแต่ 1.5-6 ปี มีทั้งหมด 5 ชั้นเรียน แบ่งเป็น 3 เทอม พร้อมซัมเมอร์ ทั้งนี้ เด็กที่จบการศึกษาในระดับชั้นปี K3 หรืออนุบาล 3 จะมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการเข้าสู่การศึกษาในระดับประถมศึกษาในทุกรูปแบบการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนไทย หรือนานาชาติ
นับเป็นอีกทางเลือกของบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะสรรหาสิ่งดีๆ กับการสร้างสรรค์โอกาสให้ลูกหลานเพื่อพัฒนาการที่ดีในอนาคตต่อไป.
วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th