
นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมงได้ออกประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์การอนุญาตให้แก้ไขเครื่องมือทำการประมงในใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์ พ.ศ.2563 เพื่อให้ผู้รับใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์ แก้ไขรายการเครื่องมือทำการประมงในใบอนุญาต เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในการประกอบอาชีพและสามารถปรับเปลี่ยนการใช้เครื่องมือทำการประมงได้เหมาะสมตามช่วงฤดูกาลของแต่ละพื้นที่ ตามที่มีพี่น้องชาวประมงเรียกร้องมาและนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้เรียกประชุมเพื่อแก้ปัญหาให้
โดยผู้รับอนุญาตสามารถยื่นคำขอเปลี่ยนแปลงใบอนุญาตได้ที่สำนักงานประมงอำเภอท้องที่ติดทะเลทุกแห่ง โดยกรมประมงจะดำเนินการผ่านระบบการออกใบอนุญาตทำการประมงอิเล็กทรอนิกส์ (E-license) ประกอบด้วย การเปลี่ยนจากการใช้เครื่องมือประสิทธิภาพสูง เป็นเครื่องมือประสิทธิภาพสูงด้วยกัน แต่มีประสิทธิภาพการจับสัตว์น้ำต่ำกว่า เช่น อวนลากคู่ ขอเปลี่ยนเป็นอวนลากแผ่นตะเฆ่ โดยกรณีนี้กรมประมงจะนำปริมาณสัตว์น้ำของเครื่องมืออวนลากคู่เดิมมาคำนวณจำนวนวันทำการประมงใหม่ตามประสิทธิภาพของเครื่องมือทำการประมงที่เปลี่ยนแปลงไป และจากเครื่องมือประสิทธิภาพสูง เป็นเครื่องมือประสิทธิภาพต่ำได้ เช่น อวนลากแผ่นตะเฆ่ ขอเปลี่ยนเป็นอวนติดตา อวนครอบหมึก ลอบปลา เบ็ดราว นอกจากนี้ จากเครื่องมือกลุ่มประสิทธิภาพต่ำ เป็นเครื่องมือกลุ่มประสิทธิภาพต่ำด้วยกันได้ เช่น ครอบหมึก ขอเปลี่ยนเป็น ลอบปู ลอบปลา เบ็ดราว อวนติดตา เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตทำการประมงสามารถขอเพิ่มขนาดหรือจำนวนเครื่องมือทำการประมงที่ได้รับอนุญาตอยู่แล้วได้ แต่เมื่อรวมกับขนาดหรือจำนวนที่ได้รับอนุญาตเดิม ต้องไม่เกินมาตรฐานของเครื่องมือทำการประมงพาณิชย์ที่อนุญาตให้ใช้ทำประมงได้ เช่น เครื่องมืออวนลากคู่ ขอเพิ่มความยาวคร่าวล่างปากอวน โดยเมื่อรวมกับความยาวที่ได้รับอนุญาตอยู่แล้วได้ ไม่เกิน 100 เมตร หรือเครื่องมืออวนลอบปู ของเรือขนาดไม่เกิน 30 ตันกรอส ขอเพิ่มจำนวนลอบปู โดยเมื่อรวมกับที่ได้รับอนุญาตเดิมได้ไม่เกิน 3,500 ลูก เป็นต้น
“การประกาศอนุญาตให้สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงเครื่องมือทำการประมงในใบอนุญาตฯ ในครั้งนี้ จะช่วยให้พี่น้องชาวประมงสามารถประกอบอาชีพได้อย่างเหมาะสม จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ให้สามารถทำการประมงได้สอดคล้องกับฤดูกาล ซึ่งจะไม่กระทบต่อปริมาณสัตว์น้ำสูงสุดที่สามารถให้ทำการประมงได้ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติกำหนด”.