THE ISSUES : วิน-วินมหากาพย์ค่าโง่ทางด่วน 1.3 แสนล้าน

Business & Marketing

Marketing & Trends

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

THE ISSUES : วิน-วินมหากาพย์ค่าโง่ทางด่วน 1.3 แสนล้าน

Date Time: 25 ก.พ. 2563 05:01 น.

Summary

  • ในที่สุดคดีพิพาทค่าโง่ทางด่วน 1.3 แสนล้าน ระหว่างฝ่ายรัฐ คือการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ซึ่งถูกฝ่ายเอกชน บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ฟ้องร้อง

Latest

"ล้านนาทีค" เมกะโปรเจกต์หมื่นล้าน จาก AWC จุดเช็กอินเชียงใหม่

ในที่สุดคดีพิพาทค่าโง่ทางด่วน 1.3 แสนล้าน ระหว่างฝ่ายรัฐ คือการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ซึ่งถูกฝ่ายเอกชน บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ฟ้องร้องกรณีรัฐบาลสร้างทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ส่วนต่อขยาย ช่วงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ–รังสิต จนทำให้เกิดผลกระทบต่อยอดผู้ใช้บริการทางด่วนสายบางปะอิน–ปากเกร็ดก็สามารถหาบทสรุปจบลงไปเรียบร้อย แบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น

หลังทั้ง 2 คู่กรณีตกลงรับเงื่อนไข และลงนามในสัญญาหย่าศึกไปแล้วเมื่อวันที่ 20 ก.พ.63 ที่ผ่านมา โดยภาครัฐยอมขยายอายุสัมปทานทางด่วนให้ BEM ออกไป 15 ปี 8 เดือน และให้ทั้ง 2 ฝ่ายต้องถอนฟ้องทุกคดีให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 1 มี.ค.63 เท่ากับว่า “ปิดฉากมหากาพย์การฟ้องร้องที่ต่อสู้กันมายาวนานถึง 25 ปีโดยสมบูรณ์”

งานนี้ต้องยกเครดิตส่วนหนึ่งให้กับ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม ที่เข้ามารับเผือกร้อนจากรัฐบาลก่อน แต่ก็สามารถสางปัญหาปลดล็อกค่าโง่ได้อย่างรวดเร็ว โดยยอมเจรจาให้มีการขยายสัมปทานแทนการจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายนับ
แสนล้านบาทได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม “ซุปเปอร์ดีล” ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นทางออกที่เหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะภาครัฐ-ประชาชน-เอกชน ใครได้ประโยชน์มากกว่ากัน

เพราะหากว่ากันตามเนื้อผ้าแล้ว คดีนี้รัฐบาลเองดูไม่ได้เปรียบสักเท่าไร เพราะในการพิจารณาชั้นศาล ฝั่ง กทพ.ก็แพ้เรียบวุธมาตลอด จนล่าสุดเมื่อปี 61 ศาลปกครองกลางก็ได้อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ตัดสินให้ กทพ.แพ้คดีทางการแข่งขันมีมูลหนี้ถึง 7.8 หมื่นล้านบาท และทางฝ่ายกฎหมายมีการประเมินต่อว่า หาก กทพ.สู้ต่อมีโอกาสแพ้สูง ไม่นับรวมคดีไม่ให้ขึ้นค่าผ่านทางด้วยอีก 5.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งมูลหนี้พิพาทจะสูงถึง 1.37 แสนล้านบาททันที

ด้วยเหตุนี้เมื่อวันที่ 2 ต.ค.61 ครม.จึงมีมติให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง คือกระทรวงคมนาคม ไปเร่งเจรจาต่อรองกับคู่กรณีเพื่อบรรเทาความเสียหายของรัฐ นับตั้งแต่นั้นมาทั้ง 2 ฝ่าย คือการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และ BEM ได้ตั้งโต๊ะเจรจามากกว่า 8 ครั้ง รวมถึงเจรจาไม่เป็นทางการอีกนับร้อยครั้ง โดยมีผู้แทนจากคลัง อัยการสูงสุด กฤษฎีกา เข้าร่วมตรวจสอบทุกขั้นตอน พร้อมด้วยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นที่ปรึกษาในการเจรจา

ผลเจรจาสามารถต่อรองลดมูลหนี้ลงจากเดิม 137,517 ล้านบาท เหลือเพียง 58,873 ล้านบาท และที่สำคัญไม่ต้องให้รัฐชดใช้เป็นเงินสด แต่ให้ขยายอายุสัญญาสัมปทานทางด่วนที่เป็นข้อพิพาทออกไป 15 ปี 8 เดือนแทน ได้แก่ การขยายอายุสัญญาสัมปทานให้-โครงการทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน A, B, C, ทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน D และโครงการทางด่วนอุดรรัถยา ส่วน C+ สายบางปะอิน-ปากเกร็ด ตั้งแต่ 1 มี.ค.63 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 31 ต.ค.78 พร้อมกับให้ กทพ. และ BEM ถอนฟ้องคดีที่มีการฟ้องร้องต่อกันทั้ง 17 คดี แบ่งเป็นคดีที่ BEM ฟ้องร้อง กทพ. 15 คดี, กทพ.ฟ้อง BEM จำนวน 2 คดี ให้เสร็จสิ้น

ก่อนวันที่ 1 มี.ค.63 โดยดีลนี้ไม่ได้มีข้อผูกมัดกับข้อเสนอในการก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 หรือ Double Deck ดับเบิล เดก ระยะทาง 17 กม.แต่อย่างใด

ถามว่าข้อตกลงนี้ถามว่าดีไหม ในแง่ของรัฐ ต้องตอบว่าดีที่ไม่ต้องนำเงินของแผ่นดินที่หาได้ยากไปจ่ายให้เอกชน เกือบครึ่งแสนล้าน ขณะที่ภาคเอกชนก็สบายใจ ไม่ต้องปวดหัวไปต่อสู้คดีในชั้นศาล โดยมีคู่กรณีเป็นหน่วยงานภาครัฐ ที่ยังต้องทำมาหากิน พึ่งพาอาศัยกันอีกนาน

ส่วนภาคประชาชนก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไร ยังใช้ทางด่วนได้ตามปกติ โดยทาง BEM ก็ยินยอมยกเว้นค่าผ่านทางให้ประชาชนในทุกด่านที่มีข้อพิพาท ทุกวันหยุดนักขัตฤกษ์ เช่น ช่วงเทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ให้ประชาชนขึ้นฟรีจำนวนกว่า 19 วันต่อปี หรือมากกว่า 300 วันตลอดอายุสัญญาไปจนถึงปี 78

แต่ที่สำคัญกว่านั้นการเจรจายุติข้อพิพาทครั้งนี้ยังเป็นการปูทางในอนาคตให้กระทรวงคมนาคมสามารถลงทุนพัฒนาทางด่วนของภาครัฐได้โดยไม่ติดปัญหาเรื่องการแข่งขัน ซึ่งสามารถลงทุนพัฒนาทางด่วนได้ในทุกเส้นทางที่เห็นว่าประชาชนจะได้รับประโยชน์ต่อไปได้ ดังนั้นซุปเปอร์ดีลครั้งนี้จึงเป็นทางออกที่ไม่เลวสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง.

สุรางค์ อยู่แย้ม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ