ชี้ไทยเข้าสู่ยุค “เศรษฐกิจเลวร้าย” “บาทแข็ง” กระทบหนักกำลังซื้อลด

Business & Marketing

Marketing & Trends

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ชี้ไทยเข้าสู่ยุค “เศรษฐกิจเลวร้าย” “บาทแข็ง” กระทบหนักกำลังซื้อลด

Date Time: 28 มิ.ย. 2562 05:25 น.

Summary

“เครือสหพัฒน์” ครวญ เศรษฐกิจไทยขณะนี้เลวร้ายสุด อ่วมเงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป กระทบกลุ่มเกษตรกร และคนระดับล่างกำลังซื้อหด ขณะที่การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ชีวิตยุคใหม่ทำให้ค่าครองชีพพุ่ง

Latest

คนไทยรัก ต่างชาติหลง รวม 8 แบรนด์ไทยสร้างภาพจำระดับโลก ปี 2025

“สหพัฒน์” จี้เร่งตั้งรัฐบาลใหม่แก้วิกฤติ

“เครือสหพัฒน์” ครวญ เศรษฐกิจไทยขณะนี้เลวร้ายสุด อ่วมเงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป กระทบกลุ่มเกษตรกร และคนระดับล่างกำลังซื้อหด ขณะที่การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ชีวิตยุคใหม่ทำให้ค่าครองชีพพุ่ง แต่รายได้ไม่เพิ่ม นักลงทุนกังวลจนป่านนี้ยังไม่มีรัฐบาลมาทำงาน ขณะที่ลดเป้าเติบโตปีนี้เหลือ 2.5–3%

นายบุญยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งตัวในปัจจุบันถือว่าอยู่ในวิกฤติ ขณะที่รัฐบาลก็ยังไม่ชัดเจน แม้ว่าจะทราบตัวนายกรัฐมนตรีแล้ว ทำให้มีคำถามจากนักลงทุนมามากว่า เมื่อไรจะมีรัฐบาลมาทำงานสักที และยังมีคำถามเพิ่มเติมว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งดูแลนโยบายเศรษฐกิจยังอยู่ด้วยหรือไม่ เพราะในช่วงเวลานี้นับว่าเลวร้ายที่สุด อยากจะให้รัฐบาลใหม่เข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยเร็ว

ทั้งนี้ สิ่งเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องดำเนินการคือการเข้าไปดูแลค่าเงินบาท เพราะขณะนี้ถือว่า ค่าเงินบาทแข็งเร็วเกินไป อยากจะให้ดูแลค่าเงินไม่ให้เคลื่อนไหวเร็วมาก ทั้งการแข็งค่าและอ่อนค่า เพราะภาคเอกชนจะทำงานลำบาก โดยส่วนตัวอยากเห็นค่าเงินบาทที่ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่าเหมาะสมดี ทั้งนี้ ยอมรับว่าการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าจะมีกลุ่มได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ แต่กลุ่มเสียประโยชน์เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่เกษตรกร รวมทั้งอุตสาหกรรมการเกษตรที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ 100% ขณะที่กลุ่มนำเข้าจะได้ประโยชน์ต้นทุนที่ถูกลง รวมทั้งประชาชนระดับล่างที่มีกำลังซื้อลดลงจากผลพวงของเศรษฐกิจด้วย ขณะที่อีกประเด็นสำคัญก็คือ การที่ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป การใช้ชีวิตของผู้คน การจับจ่ายและการกินอาหาร ปัจจัยเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้จ่ายเพิ่มขึ้น ค่าครองชีพแพงขึ้น แต่รายได้ไม่เพิ่มขึ้นตาม ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศชะงักได้เช่นกัน

“เมื่อไลฟ์สไตล์ของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป มีผลให้ธุรกิจเครือสหพัฒน์เปลี่ยนแปลงตาม เพราะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับผู้คนทั้งประเทศ จากเดิมธุรกิจด้านสิ่งทอและแฟชั่นเป็นกลุ่มธุรกิจที่ทำรายได้หลักและผลกำไรให้บริษัทมากมายเปลี่ยนเป็นธุรกิจด้านอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีการเติบโตมาทดแทน โดยธุรกิจที่ซบเซาลงก็ต้องปรับตัวลงตามเช่น โรงงานผลิตถุงเท้าต้องย้ายฐานผลิตไปยัง อ.แม่สอด จ.ตาก แทน แต่ยังไม่ถึงกับต้องปิดโรงงานไป นอกจากนั้น เครือสหพัฒน์ยังขยายธุรกิจการบริการ การศึกษาและพลังงาน โดยธุรกิจบริการ เช่น การขนส่งโลจิสติกส์ลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ตั้งศูนย์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งไม่ได้เน้นเข้าไปแข่งขันในธุรกิจนี้ แต่มุ่งให้บริการกับธุรกิจในเครือ”

นายบุญยสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ การที่ได้เห็นข่าวว่า จะสามารถตั้งรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศในเดือนหน้าถือว่ายังไม่ช้าไป พอมีเวลาเข้ามาทำงานและเร่งแก้ไขปัญหาเร่งด่วนทันที

“เครือสหพัฒน์มีพันธมิตรนักลงทุนต่างชาติมาก ซึ่งมีความสนในที่จะเข้ามาลงทุนในไทย ประเทศเรายังมีความน่าลงทุนมาก ทั้งนักลงทุนจากญี่ปุ่นและจีน โครงการในอีอีซี เป็นจุดดึงดูดให้นักลงทุนมาก อุตสาหกรรมหลายๆอุตสาหกรรมยังมองมาที่ประเทศไทย เช่น การลงทุนโรงงานผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น”

สำหรับเป้าหมายยอดขายของเครือสหพัฒน์หลังจากที่ได้ปรับเป้าหมายการเติบโตลงเหลือ 2.5-3% ขณะนี้ประเมินสถานการณ์แล้วน่าจะทำได้ จากปีที่ผ่านมา มียอดขายรวมประมาณ 300,000 ล้านบาท.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ