
นางอเล็กซานดรา ไรช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค เปิดเผยว่า เชื่อว่าการให้บริการ 5 จี เชิงพาณิชย์ในไทยจะเกิดขึ้นหลังปี 2564 เป็นต้นไป เพราะด้วยต้นทุนที่สูงมากของ 5 จี การดำเนินการใดๆ จำเป็นต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบและเหมาะสม
“เบื้องต้นเราประเมินว่าการลงทุน 5 จี จะสูงกว่า 4 จีไม่ต่ำกว่า 2 เท่า สำหรับดีแทคจึงกำลังรอดูว่ากำหนดเวลา ราคา และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ กสทช.จะออกมาอย่างไร”
อย่างไรก็ตาม เธอตอกย้ำว่า 5 จีจะไม่เปลี่ยนประสบการณ์การใช้งานเครือข่ายมือถือในระดับผู้บริโภคเท่าไรนัก แต่เป็นบริการที่ขยับขึ้นสู่ระดับอุตสาหกรรมมากกว่า จึงจะเกี่ยวข้องกับหน่วยงานหลากหลายที่จะต้องทำงานร่วมกัน “สำหรับดีแทค เราจะใช้ความระมัดระวังในการพิจารณาเรื่องนี้อย่างมาก และเราก็จะไม่เชื่อผู้ผลิตอุปกรณ์ 5 จี หรือ Vender เพราะเรารู้ว่าเขาย่อมต้องการขายสินค้าของเขา”
นางอเล็กซานดรา ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ราว 6 เดือน เปิดเผยด้วยว่า การตัดสินใจเข้าประมูลคลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ของดีแทค ช่วยกอบกู้ความเชื่อมั่นของลูกค้าและพนักงานกลับคืนมาได้มาก จากที่ก่อนหน้านี้ ทั้งลูกค้าและพนักงานมีความกังวลและหดหู่ใจ หากดีแทคไม่มีคลื่นความถี่ต่ำไว้ให้บริการ ขณะที่คู่แข่งอีกทั้ง 2 รายมีเหลือเฟือ โดยความเชื่อมั่นที่เพิ่มมากขึ้น สะท้อนให้เห็นจากยอดปิดบริการ (Churn Rate) ที่เคยอยู่ระดับ 5% เมื่อไตรมาส 3 ปี 2561 ที่ผ่านมา ปัจจุบันลดลงมาเหลือ 3% ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมในภาพรวม
นอกจากนั้นในปีที่ผ่านมา ยังเป็นปีที่ดีแทคลงทุนด้านเครือข่ายมากที่สุดทำลายสถิติ โดยใช้เงินเป็นจำนวน 18,000 ล้านบาท ปูพรมผุดโครงข่าย 13,000 สถานีฐาน ส่วนปีนี้วงเงินลงทุนอยู่ในระดับเดิมและมีเป้าเพิ่มเติมสถานีฐานอีกราว 7,000 สถานี “ปีนี้เป็นปีที่เราเชื่อมั่นว่าเราน่าจะกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง เรามีความพร้อมที่จะเอาชนะใจลูกค้าให้ได้มากที่สุด หลังหยุดเลือดไหลได้สำเร็จ เราเห็นสัญญาณลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นชัดเจน แม้ไม่หวังว่าจะกลับมาเป็นเบอร์ 2 ของตลาดเหมือนเดิม แต่ปีนี้จะเป็นปีที่คู่แข่งทั้ง 2 ราย ต้องหันกลับมากลัวเรา”.