
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่เวิลด์อีโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) แถลงรายงานดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลกในปี 2561 โดยไทยได้รับการจัดอันดับที่ 38 เพิ่มขึ้น 2 อันดับ จากอันดับ 40 ว่า เป็นสิ่งที่ สะท้อนให้เห็นถึงการทำงานของทุกฝ่ายที่ช่วยให้ไทยได้รับการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น ซึ่งขณะนี้ตัวชี้วัด ต่างๆของไทยปรับตัวดีขึ้นทั้งหมด ขณะเดียวกัน ในช่วงต้นเดือน พ.ย. จะมีการประกาศอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจ (Ease of doing business) ของธนาคารโลก (World Bank) คาดว่า ไทยจะได้รับการจัดอันดับดีขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบคุณ เวิลด์อีโคโนมิก ฟอรั่ม ที่ปรับอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ของไทยเพิ่มขึ้น แต่น่าจะขยับมากกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่ไทยทำเพิ่มจำนวนมาก แต่ขยับขึ้นเพียง 2 อันดับ
นายพสุ เดชะรินทร์ คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก 4.0 (Global Competitiveness Index : GCI 4.0) ซึ่งเปรียบเทียบความสามารถทางการแข่งขันของ 140 ประเทศทั่วโลก ในปีนี้ไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 38 โดยมีคะแนน 67.5 จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ถือว่าดีขึ้น อย่างเห็นได้ชัดจากปีที่ผ่านมา โดย WEF ได้นำเกณฑ์และวิธีการคำนวณตามแนวทาง GCI 4.0 ไปใช้กับข้อมูลของปีที่แล้วซึ่งไทยอยู่ในอันดับที่ 40 และมีคะแนน 66.3 แสดงให้เห็นว่าเมื่อพิจารณาจากเกณฑ์และวิธีการคำนวณโดยใช้เกณฑ์ 4.0 ไทยก้าวสู่ความเป็น 4.0 มากขึ้น ส่วนประเทศที่ได้อันดับ 1 คือ สหรัฐฯ รองลงมาคือ สิงคโปร์ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ ฮ่องกง สหราชอาณาจักร สวีเดน และเดนมาร์ก
“หากเปรียบเทียบกับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยกับประเทศอื่นๆทั่วโลก จะพบว่า ด้านที่มีอันดับที่ดีและส่งผลบวกต่อดัชนีความสามารถทางการแข่งขันโดยรวม ได้แก่ ด้านระบบการเงินที่อยู่อันดับที่ 14 ของโลก และได้รับคะแนน 84.19 จาก 100 โดยในด้านระบบการเงินมีปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องกับความพร้อมของเงินทุน การให้สินเชื่อ ผลิตภัณฑ์การเงินประเภทต่างๆ รวมทั้งระบบในการลดและกระจายความเสี่ยงต่างๆ ทางด้านการเงิน”
ส่วนด้านขนาดของตลาด (Market size) ไทยอยู่อันดับที่ 18 ของโลก โดยได้รับคะแนน 74.88 สะท้อนให้เห็นขนาดของตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเป็นผลรวมของการบริโภคภายในประเทศ การลงทุน และการส่งออก.