สำรวจพบผู้ประกอบการ 33% ลังเลการขึ้นค่าจ้าง หลังเดลตาทำพิษธุรกิจยังไม่ฟื้น

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

สำรวจพบผู้ประกอบการ 33% ลังเลการขึ้นค่าจ้าง หลังเดลตาทำพิษธุรกิจยังไม่ฟื้น

Date Time: 4 มี.ค. 2565 12:35 น.

Video

ดีเบต 'เงินเฟ้อ'  อาจารย์พิริยะ vs ซีเค เจิง จากเวที THBW2024

Summary

  • สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยผลสำรจดัชนีค้าปลีกเดือน ก.พ. 65 ส่งสัญญาณดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นของรัฐ หวังอัดฉีดต่อเนื่องเพื่อสร้างเม็ดเงินเข้าระบบ พบผู้ประกอบการอีก 33% ลังเลที่จะขึ้นค่าจ้าง หลังเดลตาทำพิษธุรกิจยังไม่ฟื้น

Latest


สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยผลสำรจดัชนีค้าปลีกเดือน ก.พ. 65 ส่งสัญญาณดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นของรัฐ หวังอัดฉีดต่อเนื่องเพื่อสร้างเม็ดเงินเข้าระบบ พบผู้ประกอบการอีก 33% ลังเลที่จะขึ้นค่าจ้าง หลังเดลตาทำพิษธุรกิจยังไม่ฟื้น

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.65 นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า สมาคมผู้ค้าปลีกไทยร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ทำผลสำรวจความเชื่อมั่น หรือ Retail Sentiment Index เดือน ก.พ.65 โดยผลการสำรวจรอบนี้ของเราต้องบอกว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการดีขึ้น 9.3 จุด เกิดจากความพยายามร่วมกันของภาครัฐและภาคเอกชน ในการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้วยการตรึงราคาพลังงานและสินค้าอุปโภคบริโภค

โดยสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และภาคีเครือข่าย ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์รายใหญ่กว่า 30 ราย เพื่อตรึงราคาให้ครอบคลุมสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันกว่า 500 รายการมาตั้งแต่ปลายปี 64 รวมทั้งได้รับผลจากมาตรการการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของภาครัฐเพิ่มอีกแรง ส่งผลให้ยอดขายสาขาเดิม Same Store Sale Growth หรือ SSSG ปรับเพิ่มขึ้น 15.2 จุด แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 จุด ซึ่งเกิดจากความถี่ในการจับจ่าย หรือ Frequency Of Shopping ที่เพิ่มขึ้น 16.3 จุด แต่ยอดซื้อต่อบิล Spending Per Bill หรือ Per Basket Size นั้นยังอยู่ในอัตราทรงตัวที่ 5.2 จุด

ดังนั้นการจับจ่ายที่เกิดขึ้นจึงเป็นลักษณะการซื้อทีละน้อยแต่ซื้อบ่อยครั้ง ซึ่งสอดคล้องกับความระมัดระวังในการจับจ่ายที่ซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะสินค้าหลายหมวดหมู่มีการปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีข้อสรุปของดัชนีความเชื่อมั่นในประเด็นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้

1. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก Retail Sentiment Index (RSI) เดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 52.7 ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 9.3 จุด เมื่อเทียบกับดัชนีเดือนมกราคมที่ 43.4 จุด สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ยังไม่มั่นคง เนื่องจากความกังวลต่อกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับราคาสินค้าที่ปรับราคาเพิ่มขึ้น

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้นเพียง 5.6 จุด จากระดับ 53.1 จุด ในเดือนมกราคม มาที่ 58.7 จุด เดือน ก.พ. สะท้อนถึงความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโอมิครอนที่กระจายไปอย่างรวดเร็วในประเทศไทย รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของโลกที่ยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น ราคาน้ำมัน และอัตราเงินเฟ้อ เป็นต้น

2. ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามภูมิภาค ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อยอดขายเดิมเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม จากมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของภาครัฐ แต่ก็เป็นการเพิ่มขึ้นที่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 จุด ทุกภูมิภาค สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ยังกังวลในการฟื้นตัวของกำลังซื้อ และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะราคาพลังงานและราคาอาหารสดมีการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญของ การประเมินกำลังซื้อและแนวโน้มการแพร่ระบาดของโอมิครอนจากมุมมองผู้ประกอบการ ในเดือน ก.พ. 65 สำรวจระหว่างวันที่ 17-24 ก.พ. 65 ดังนี้

1. แนวโน้มการพิจารณาปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ
- 44% อาจจะพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างไม่เกิน 5%
- 33% รอการประกาศค่าจ้างขั้นต่ำอย่างเป็นทางการ

2. ผลกระทบต่อธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโอมิครอนเมื่อเทียบกับเดลตา
- 63% ผลกระทบโอมิครอนน้อยกว่าเดลตา
- 33% ผลกระทบโอมิครอนใกล้เคียงกับเดลตา
- 4% ผลกระทบโอมิครอนมากกว่าเดลตา

3. ผลการสำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการต่อโครงการช้อปดีมีคืน 2565

3.1 จำนวนลูกค้าเมื่อเทียบเดือน ม.ค. 65 กับเดือน ธ.ค.64
- 59.5% จำนวนลูกค้ามาจับจ่าย มากขึ้น
- 20.1% จำนวนลูกค้ามาจับจ่าย เท่าเดิม
- 20.4% จำนวนลูกค้ามาจับจ่าย น้อยลง

3.2 จำนวนใบกำกับภาษี
- 82.7% จำนวนใบกำกับภาษีเพิ่มขึ้น 1-5%
- 11.4% จำนวนใบกำกับภาษีเพิ่มขึ้น 6-10%

จากผลการสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการกว่า 44% อาจจะพิจารณาปรับค่าจ้างแต่ไม่เกิน 5% ในขณะที่ผู้ประกอบการ 33% ระบุว่า จะยังไม่พิจารณาปรับค่าจ้าง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบส่วนใหญ่ยังคงลังเลที่จะปรับค่าจ้าง ในขณะที่ธุรกิจยังไม่ฟื้นตัวและสถานการณ์เศรษฐกิจก็ยังไม่มีความชัดเจน แม้ว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโอมิครอนจะน้อยกว่าเดลตา แต่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเดลตาที่มาก่อนหน้านี้ยังไม่ฟื้นตัว

ทั้งนี้ ทำให้ภาพรวมของธุรกิจยังได้รับผลกระทบอยู่ สำหรับผลสำรวจความคิดเห็นจากโครงการช้อปดีมีคืน มีผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจระดับหนึ่ง แม้ว่าในช่วงเวลาที่เริ่มต้นโครงการช้อปดีมีคืน นั้น เป็นช่วงของการแพร่ระบาดของโอมิครอน ทำให้มู้ดในการจับจ่ายใช้สอยไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็ถือว่ายอดขายเติบโตได้ขนาดนี้ก็เป็นที่น่าพอใจ

แต่หากโครงการช้อปดีมีคืน สามารถทำเฟสต่อไปได้ โดยขยายเวลาเป็น 3 เดือน และขยายวงเงินเป็น 100,000 บาท ผลลัพธ์จะทำให้สามารถนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ที่ทำให้ผู้ประกอบการ และ SMEs ไทยสามารถดำรงสภาพคล่องและคงการจ้างงานไว้ได้

อย่างไรก็ตาม เรายังย้ำ 3 ข้อเสนอต่อภาครัฐที่ต้องเร่งลงมือทำเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนี้ 1. เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนโดยภาครัฐ ให้มีการอนุมัติและดำเนินการโครงการต่างๆ เพื่อสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว

2. พยุงราคาพลังงานให้คงที่และได้นานที่สุด ภาครัฐควรพิจารณาใช้ทุกมาตรการ เช่น การใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการออกมาตรการควบคุมราคาค่าขนส่ง เพื่อพยุงราคาพลังงานให้นานที่สุด และ 3. คงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐไว้อย่างต่อเนื่อง ภาครัฐควรพิจารณากระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนเพื่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ (Local Consumption) ผ่าน โครงการคนละครึ่ง และ โครงการช้อปดีมีคืน

"จะเห็นได้ว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัวมากนัก การกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐยังเป็นสิ่งจำเป็น และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ยังต้องมุ่งมั่นในการเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนอย่างรวดเร็วและรอบด้าน นอกจากนี้ ภาครัฐต้องมีนโยบายที่ชัดเจนส่งเสริมให้เอกชนลงทุนภายในประเทศเพื่อเพิ่มการจ้างงาน ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ท้ายที่สุดนี้คือ การร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจของทุกภาคส่วนจะเป็นพลังในการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยได้ไปต่อ"


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ