สมาคมค้าปลีกไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ เพิ่มขึ้น 2 เท่าหลังคลายล็อกดาวน์ แนะรัฐไกด์แนวทาง Covid Free Setting เร่งฟื้นนโยบายช้อปดีมีคืนกระตุ้นเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 1 ต.ค.64 นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า จากผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นค้าปลีกในเดือน ก.ย.64 ส่งสัญญาณที่ดีโตขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับเดือน ส.ค. ปีเดียวกัน เนื่องจาก ผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ อนุญาตให้เปิดกิจการและธุรกิจเพิ่มเติมในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ ส่งผลให้ความถี่ในการจับจ่าย หรือ Frequency of Shopping เพิ่มมากขึ้น แต่ยอดการใช้จ่ายต่อครั้ง หรือ Spending per Basket เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก มีดังนี้
1. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก หรือ Retail Sentiment Index (RSI) เดือน ก.ย.64 ปรับตัวดีขึ้นกว่า 2 เท่าอย่างชัดเจน จากที่ระดับ 25.0 ในเดือนสิงหาคม มาอยู่ที่ระดับ 59.0 ในเดือน ก.ย. หลังการประกาศผ่อนคลายมาตรการฯ ของรัฐ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก RSI ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ก็ปรับตัวดีจากระดับที่ 47.8 เดือนสิงหาคม มาอยู่ที่ระดับ 63.8 ในเดือน ก.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 25%
ส่วนความเชื่อมั่นสภาวะปัจจุบันเพิ่มขึ้นกว่า 200% สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการยังมีความวิตกกังวลอยู่มากของมาตรการการผ่อนคลาย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความชัดเจน
2. ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามภูมิภาค ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อยอดขายเดิมเดือนกันยายนดีขึ้นอย่างชัดเจนในทุกภูมิภาค และอยู่เหนือระดับค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 ยกเว้น ภาคเหนือ และภาคใต้ ซึ่งยังต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 จากเดือน พ.ค. เนื่องจากเป็นจังหวัดท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบจากการเลื่อนบินภายในประเทศ
3. ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามประเภทร้านค้าปลีก ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกประเภทธุรกิจอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง ซ่อมบำรุง (Hard Line) แต่ในขณะที่ร้านค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อ ที่ดัชนีความเชื่อมั่นยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 เป็นผลจากมาตรการเคอร์ฟิว ส่งผลกระทบยอดขายในรอบดึก เป็นสัดส่วนราว 35% ของยอดขายต่อวันหายไป รวมถึงมาตรการ Work From Home และการปิดสถานศึกษา ทำให้จำนวนลูกค้าน้อยลง
นอกจากนี้ การประเมินผลกระทบต่อยอดขายและกำลังซื้อและแนวโน้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จากมุมมองผู้ประกอบการ ในเดือน ก.ย.64 มีดังนี้
1. 68% ผู้ประกอบการคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาส 3 น่าจะหดตัวถึง 30% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
2. ผู้ประกอบการ 57% ระบุว่ายอดขายในไตรมาส 3 น่าจะลดลงมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว
3. ผู้ประกอบการ 73% คาดว่าสถานการณ์จะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565
ซึ่งเป็นผลจากการกระจายวัคซีนให้กับประชาชนได้ตามเกณฑ์
4. 26% จะเปิดเป็นบางส่วนหรือปิดชั่วคราว แม้ว่าภาครัฐจะผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ก็ตาม
5. ปัจจัยที่ส่งผลต่อธุรกิจในปัจจุบัน มาตรการเคอร์ฟิว 83% ส่วน 58% คิดว่ากำลังซื้อผู้บริโภคหดหาย ไม่ฟื้นตัวเร็ว 42% ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 33% มีบุคลากรที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนอีกมาก และ 33% คาดว่าค่าใช้จ่ายตามประกาศ Covid Free Setting บานปลาย
6. 90% ไม่มีความมั่นใจในนโยบายที่ภาครัฐประกาศจะเปิดประเทศ 120 วัน
อย่างไรก็ตาม มาตรการคลายล็อกดาวน์ เป็นสิ่งที่เรียกความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจ และรัฐบาลควรเร่งการกระจายการฉีดวัคซีน ให้ได้ 70% ของประชากรทั้งประเทศตามที่ได้ตั้งเป้าไว้ เพื่อจะได้เปิดประเทศอย่างปลอดภัยและเร็วที่สุด อีกปัจจัยที่สำคัญ ที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ปี 64 ขอเสนอให้นำมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” กลับมาใช้อย่างเร่งด่วน เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนเข้าระบบเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย มีข้อเสนอให้ภาครัฐ 4 ข้อ ได้แก่
1. ภาครัฐต้องเร่งฟื้นโครงการ “ช้อปดีมีคืน” อย่างเร่งด่วน เพื่อให้เงินหมุนเวียนในระบบ พร้อมกระตุ้นการจับจ่ายให้กลับมาคึกคักช่วงปลายปี
2. ภาครัฐใช้มาตรการทางภาษีเพื่อช่วยผู้ประกอบการในด้านค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุข นอกเหนือจากการลดหย่อนภาษี 1.5 เท่าของค่าใช้จ่าย ATK
3. ภาครัฐต้องกำหนดมาตรการ Covid Free Setting และ Universal Prevention ให้ประชาชนเข้าใจ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถปฏิบัติได้ง่ายและมีขั้นตอนที่ชัดเจน
4. ภาครัฐเร่งการกระจายการฉีดวัคซีนให้รวดเร็วและเข้าถึงประชาชนมากกว่า 70% ของประชากรทั้งหมดของประเทศ