หอการค้าไทย หนึ่งในองค์กรชั้นนำของภาคเอกชน โดยตลอดช่วงโควิด-19 เป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำงานร่วมกับภาครัฐอย่างแข็งขันเพื่อประคับประคอง ธุรกิจ แรงงาน และเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้
หลังจากการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ โดยมี “สนั่น อังอุบลกุล” รับตำแหน่ง “ประธานกรรมการ” คนที่ 25 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้กำหนดนโยบายการทำงานเร่งด่วน ที่เรียกว่า “Connect the Dots ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยใน 99 วัน”
มีเป้าหมายช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยภายใน 99 วัน โดยมีหอการค้าไทยเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงการทำงานของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเข้าด้วยกัน เพื่อให้การดำเนินการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ สำเร็จเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ในระยะเวลาอันสั้น
“ทีมเศรษฐกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์ “สนั่น” ถึงที่มาที่ไป และรายละเอียดของนโยบายดังกล่าว รวมถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของภาคเอกชนที่ต้องการช่วยให้เศรษฐกิจไทยได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า และเศรษฐกิจโลกได้อย่างทันท่วงที เพราะเศรษฐกิจหลายประเทศกำลังเริ่มฟื้นตัวหลังจากฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว
“สนั่น” เล่าว่า ภายหลังรับตำแหน่ง “ประธานกรรมการ” คนที่ 25 ของ “หอการค้าไทย” แล้ว ผมได้กำหนดนโยบายการทำงาน โดยให้ภาคเอกชนมีส่วนช่วยภาครัฐ ในการเร่งรัดการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย หลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายใต้นโยบาย “Connect the Dots ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยใน 99 วัน”
อาจจะมีคำถามว่า ทำไมต้อง 99 วัน? ผมมองว่า ขณะนี้ เศรษฐกิจประเทศต่างๆ ทั่วโลก เริ่มฟื้นแล้ว แต่เศรษฐกิจไทยยังฟื้นช้ามาก การลงทุนยังถดถอย ที่สำคัญยังฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ช้ากว่าหลายประเทศในโลก หรือแม้แต่ในอาเซียนด้วยกันเอง ถ้าไม่เร่งรัดการแก้ปัญหา ไทยอาจไม่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
“ดังนั้น ผมจึงต้องการทำนโยบายทำงานเร่งด่วนในรูปแบบ Connect the Dots หรือทำงานร่วมกับภาครัฐ และภาคเอกชน รวมถึงพันธมิตร ที่เป็นหน่วยงาน และองค์กรต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเชื่อมให้ประเทศไทยพร้อมก้าวไปสู่อนาคต และช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรมภายในระยะเวลาสั้นๆ หรือภายใน 99 วัน”
อีกทั้งในระยะเวลา 99 วัน เมื่อครบกำหนดแล้ว จะตรงกับวันที่ 1 ก.ค.64 ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลจะเริ่มใช้ “แซนด์ บ็อกซ์ ภูเก็ต” เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบ 2 โดส เข้ามาท่องเที่ยวในไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว ซึ่งถ้าในระหว่าง 99 วันนี้ เราจัดการภายในให้ดี ก็จะพร้อมสำหรับการเปิดประเทศอย่างเต็มที่ได้อย่างแน่นอน
สำหรับนโยบายสำคัญเร่งด่วน ที่จะต้องเร่งดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรมใน 99 วัน ประกอบด้วย 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การเร่งรัดฉีดวัคซีน 2.การเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วย Digital Transformation เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และ 3.การแก้ไขกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจได้สะดวก (Ease of Doing Business)
โดยในเรื่องการเร่งรัดฉีดวัคซีน หอการค้าไทยจะเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนโดยเร็วที่สุด เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดประเทศ โดยภาคเอกชนเสนอแนวทาง Buy 1 Give 1 คือ ซื้อวัคซีน 1 โดสเพื่อฉีดให้พนักงานของตนเอง ก็จะซื้อเพื่อ ฉีดให้คนไทยฟรี 1 โดส
นอกจากนี้ ยังพร้อมร่วมมือกับภาครัฐเต็มที่ในการกระจายวัคซีนให้ได้อย่างรวดเร็ว และทั่วถึง ทั้งการขนส่ง การหาสถานที่ในการฉีด ตู้เย็นที่ใช้จัดเก็บวัคซีน ช่วยประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้ประชาชนไม่กลัวการฉีดวัคซีน จัดหาบุคลากรสำหรับฉีดให้ประชาชนอย่างเพียงพอ ซึ่งจะช่วยให้คนไทยได้รับวัคซีนเร็วขึ้น ลดการแพร่ระบาดเร็วขึ้น ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว และพร้อมรับสำหรับการเปิดประเทศ
“วัคซีน เป็นคำตอบเดียวที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยและโลก แต่การฉีดของไทยยังช้า คนไทยยังไม่กล้าฉีด ทุกฝ่ายต้องช่วยกันสื่อสารข้อมูล เพื่อสร้างความมั่นใจ เจ้าหน้าที่รัฐต้องเป็นตัวอย่างให้เห็น ส่วนภาคเอกชน ผู้บริหารบริษัทต่างๆก็ยินดีฉีดและทำความเข้าใจกับพนักงาน อย่างผม ก็พร้อมฉีดให้พนักงานเห็น คนไทยต้องฉีด ยิ่งฉีดได้เร็ว และมีประสิทธิภาพมากเท่าไหร่ เศรษฐกิจไทยจะยิ่งฟื้นตัวได้เร็วเท่านั้น”
นอกจากเรื่องฉีดวัคซีนแล้ว นโยบายสำคัญอีกเรื่องคือ เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วย Digital Transformation เพื่อให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น เพราะผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ธุรกิจซบเซา ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่อง เอสเอ็มอีเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน ทั้งๆ ที่เงินล้นระบบสถาบันการเงิน
ดังนั้น หอการค้าไทย จึงได้จัดทำโครงการใหม่ เพื่อเสริมสภาพคล่อง และช่องทางการค้าขายให้กับเอสเอ็มอี ซึ่งจะเริ่มที่ธุรกิจค้าปลีก ที่เป็นโครงข่ายของหอการค้าไทยก่อน และจะเป็นความร่วมมือระหว่างกลุ่มธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่กับธนาคารพาณิชย์
โดยธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ ที่มีเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้า (ซัพพลายเออร์) อยู่ในซัพพลายเชนของตนเอง หรือเป็นผู้เช่าพื้นที่ในห้าง หากรายใดขาดเงินทุนหมุนเวียน ธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ก็จะทำหน้าที่ช่วยคัดกรอง และให้ข้อมูลเอสเอ็มอีรายนั้นกับธนาคาร เพื่อให้ธนาคารใช้ประกอบการอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งจะทำให้ธนาคาร ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณา ประวัติทางการเงิน หรือความสามารถในการชำระเงิน เพราะมีค้าปลีกรายใหญ่เป็นผู้การันตีให้แล้ว
“แบงก์ที่มีเงินเยอะ ต้องการปล่อยกู้ ต้องคุยกับธุรกิจค้าปลีก ถ้ามีเอสเอ็มอีในซัพพลายเชนต้องการเงินทุนหมุนเวียน ค้าปลีกก็จะส่งข้อมูลไปให้แบงก์ โดยอาจจะใช้ออเดอร์ (คำสั่งซื้อ) ของเอสเอ็มอีมาวางค้ำประกันกับแบงก์ เมื่อขายสินค้าได้แล้ว ก็เอาเงินมาใช้หนี้ ทำแบบนี้แบงก์ก็สบาย ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณานาน เพราะมีค้าปลีกรายใหญ่รับประกันให้ จะปล่อยกู้เท่าไรก็ได้ สัปดาห์นี้น่าจะเห็นการพูดคุยกันของแบงก์กับธุรกิจค้าปลีกแล้ว”
นอกจากนี้ เพื่อขานรับ “แซนด์ บ็อกซ์ ภูเก็ต” หอการค้าไทย จะจัดทำโครงการ “ฮักไทย ฮักภูเก็ต” (Hug Thais Hug Phuket) เพื่อเป็นต้นแบบให้นักท่องเที่ยว และนักธุรกิจต่างชาติมาเที่ยวและทำงานในภูเก็ต โดยจะมีแพ็กเกจพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวที่พำนักระยะยาว (Long Stay) และแบบ Work from Phuket ซึ่งจะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มจากร้านค้า และบริการต่างๆเพียงแสดง Vaccine Passport รวมถึงแพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยด้วย
โดยหอการค้าไทยจะร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประชาสัมพันธ์โครงการ ฮักไทย ฮักภูเก็ต ไปยังประเทศต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มาเที่ยวภูเก็ต และมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น
“ผมมองว่า แซนด์ บ็อกซ์ ภูเก็ต จะเป็นตัวบอกได้เลยว่า แผนการเปิดประเทศของเราจะสำเร็จหรือไม่ ถ้านักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามาก ก็จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยได้ และจะทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ ที่รัฐตั้งเป้าหมายไว้ 4% เป็นไปได้แน่นอน”
ส่วนนโยบายสุดท้าย คือ การแก้ไขกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจได้สะดวก โดยหอการค้าไทย จะเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ เช่น หลักเกณฑ์ของคนเข้าเมือง โดยเฉพาะแรงงานต่างชาติที่มีฝีมือ การทบทวนการลด หรือเลิกขอใบอนุญาต และการเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อลดภาระผู้ประกอบการ รวมถึงปรับปรุงและพัฒนากฎหมายในลักษณะของกลุ่มธุรกิจ เช่น การท่องเที่ยว หรือ MICE
“หอการค้าไทยจะทบทวนนโยบายทั้ง 3 ข้อทุกเดือน โดยจะใช้แนวทางทำงานแบบ Connect the Dots เชื่อมคนที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน ทำงานแบบวัดผลได้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเข้มแข็งได้โดยเร็ว”
“สนั่น” ยังกล่าวอีกว่า นอกจากหอการค้าไทยจะทำนโยบาย Connect the Dots ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยใน 99 วันแล้ว ยังจะทำนโยบายที่จะช่วยฟื้นฟู และกระตุ้นเศรษฐกิจไทยทั้งระบบอีกด้วย
โดยจะเปิดตัวโครงการ “ฮักไทย” (Hug Thais) สำหรับคนไทย คือ ส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทย “ใช้ของไทย กินของไทย และเที่ยวเมืองไทย” ช่วยกระตุ้นภาครัฐและเอกชน จัดประชุมสัมมนาในประเทศ ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนจะช่วยจัดหาพื้นที่พิเศษในการจัดจำหน่ายสินค้าในโครงการ “ฮักไทย” และสนับสนุนการจำหน่ายทางออนไลน์
อีกทั้งจะเสนอให้ภาครัฐ นำสินค้าไทยเข้ามารวมในระบบจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งภาคเอกชน ยินดีจะใช้ และซื้อสินค้าไทยอยู่แล้ว พร้อมกับจะเสนอให้กระทรวงการคลังอนุมัติการลดหย่อนภาษีได้ 3 เท่าสำหรับค่าใช้จ่ายของบุคคล และนิติบุคคล ที่ซื้อสินค้าไทยด้วย
นอกจากนี้ ยังเห็นว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยยังจำเป็นที่รัฐบาลต้องมีมาตรการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง จึงจะเสนอให้กระทรวงการคลังยกระดับมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ให้ เป็นโครงการ “ฮักไทย ยิ่งใช้ยิ่งได้คืน” โดยให้นำค่าใช้จ่ายจากโครงการนี้ มาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท จากเดิม 30,000 บาท
“แม้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากโควิด ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีกำลังซื้อ แต่ยังมีกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงอยู่ ดังนั้น จึงต้องหาทางดึงคนกลุ่มนี้ให้เข้ามาช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงจะเสนอให้กระทรวง การคลัง เพิ่มการลดหย่อนภาษีเป็นพิเศษ เพื่อให้คนกลุ่มนี้เข้ามาช่วยใช้จ่าย”
ขณะเดียวกัน จะผลักดันให้เอสเอ็มอีเข้าถึงโครงการสินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจวงเงิน 250,000 ล้านบาท ช่วยลดต้นทุน และเสริมสร้างศักยภาพเอสเอ็มอี โดยจะเสนอให้กระทรวงแรงงานออกมาตรการจ้างงานเป็นรายชั่วโมงภายใต้ประกันสังคมแบบชั่วคราว ซึ่งจะช่วยให้นายจ้าง โดยเฉพาะเอสเอ็มอี รักษาการจ้างงานไว้ได้ ไม่ต้องปลดคนงานอีก
รวมถึงจะส่งเสริมการทำธุรกิจที่เป็นธรรม โดยจะผลักดันให้กระทรวงการคลังจัดเก็บภาษีธุรกิจอี-คอมเมิร์ซตั้งแต่บาทแรก และจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศอย่างต่อเนื่อง ภายใต้มาตรฐานการค้าที่เป็นธรรม เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อการพัฒนาภาคการค้าและบริการ โดยเฉพาะอี-คอมเมิร์ซ เพื่อช่วยผู้ประกอบการไทย เป็นต้น
สำหรับภาคการส่งออก เครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยนั้น ปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเศรษฐกิจโลกถดถอย เพราะการระบาดของโควิด-19 จนทำให้มูลค่าส่งออกไทยติดลบในอัตราสูงมาก แต่ “สนั่น” เชื่อว่า ปีนี้ การส่งออกไทยจะกลับมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ หลังจากที่หลายประเทศฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้ว
“เมื่อประเทศต่างๆฉีดวัคซีนให้กับประชาชนมากพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็จะกลับมา เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น กำลังซื้อก็จะกลับมา ความต้องการซื้อสินค้าจะกลับมา ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศผู้ส่งออกอย่างไทย มีการส่งออกเพิ่มขึ้นด้วย”
ดังนั้น คาดว่า มูลค่าส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ตามเป้าหมาย 4% เมื่อเทียบกับปี 63 แม้ในเดือน ม.ค.64 มูลค่าเป็นบวกเล็กน้อย และเดือน ก.พ.64 ติดลบ 2.59% เป็นผลจากทั้ง 2 เดือนมูลค่าส่งออกทองคำลดลงมาก จากราคาทองคำตลาดโลกที่ลดลง แต่สินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมที่แท้จริง (Real Sector) มูลค่าส่งออกขยายตัวถึง 4-5%
สำหรับในปีนี้สินค้าที่จะกลับมาขยายตัวมากขึ้นจะเป็นกลุ่มที่ปี 63 ยอดส่งออกลดลง โดยเฉพาะสินค้าคงทนต่างๆ อย่างยานยนต์ ที่มีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน ส่วนสินค้าเกษตร อาหาร อาหารแปรรูป สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการทำงานที่บ้าน อย่างเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ มีการส่งออกขยายตัวได้ดีอยู่แล้ว ส่วนสินค้าเม็ดพลาสติก และผลิตภัณฑ์ รวมถึงเคมีภัณฑ์ การส่งออกจะดีขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไทยต้องติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมาอย่างใกล้ชิด เพราะหากยืดเยื้ออาจกระทบต่อกำลังซื้อของชาวเมียนมา และส่งผลต่อการส่งออกสินค้าไทยได้ ซึ่งหอการค้าไทย ก็กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเช่นกัน ขณะเดียวกัน อาจมีการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยระลอกใหม่ จากการอพยพของชาวเมียนมาเข้ามา ดังนั้น รัฐบาลต้องดูแลผู้อพยพ และป้องกันการแพร่ระบาดในกลุ่มชาวเมียนมาให้ดี
ทั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไร ไทยต้องเร่งรัดฉีดวัคซีนให้ได้โดยเร็ว เพราะวัคซีนเป็นคำตอบเดียวที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และการส่งออก หอการค้าไทยจะร่วมมือกับภาครัฐเต็มที่ในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ
“เราจะไม่ชนกับใคร ไม่ขโมยซีนใคร เพียงแค่จะช่วยเชื่อมโยง เพื่อให้รัฐทำทุกอย่างให้ประชาชนได้สำเร็จ ทำให้ไทยพร้อมเปิดประเทศ และเศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็ว ความสำเร็จของรัฐบาลก็ถือเป็นความสำเร็จของเราด้วย เหมือนที่ภาษาอังกฤษพูดว่า Your success is our success” สนั่นกล่าวทิ้งท้าย.
ทีมเศรษฐกิจ