สมาคมผู้ค้าปลีกไทย โชว์วิสัยทัศน์ค้าปลีกมุ่งสู่ “สุดยอดการใช้ชีวิตในเอเชีย” ชูบทบาทหลัก 3 ด้าน สร้างเอสเอ็มอี, สร้างงาน, สร้างรายได้ให้รัฐ เสนอจ้างงานรายชั่วโมง จะเพิ่มการจ้างงานได้ 1.2 ล้านคน ลดภาษีนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย กระตุ้นการบริโภคผ่านช็อปช่วยชาติ
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ได้เปิดเผยข้อเสนอต่อ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการร่วมเสนอแนะความคิดเห็นด้านแนวทางและการฟื้นฟูภาคธุรกิจค้าปลีกท่ามกลางวิกฤติที่เผชิญอยู่ ภายใต้วิสัยทัศน์และบทบาทหลักของสมาคมฯที่มุ่งเน้นผลักดันเศรษฐกิจฐานชุมชน (Local Economy) ซึ่งนำไปสู่รากฐานที่แข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศ
นายญนน์กล่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกและบริการเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของประเทศ ที่มี เส้นเลือดใหญ่ คอยกระจายเลือดไปหล่อเลี้ยงระบบและส่วนต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย เกษตรกร การจ้างงาน การกระจายสินค้า การให้บริการ รวมถึงการท่องเที่ยว สูบฉีดและสร้างเศรษฐกิจมวลรวมของประเทศให้แข็งแรง ดังนั้น ถ้าธุรกิจค้าปลีกและบริการที่แข็งแกร่งจะสามารถนำพาประเทศและยกระดับความเป็นอยู่ของคนไทยทุกระดับตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
ดังนั้น การดำเนินงานของสมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้ยึดหลักวิสัยทัศน์ มุ่งสู่การเป็น “สุดยอดการใช้ชีวิต” แห่งเอเชีย (Lifestyle Hub of Asia) ด้วยการพัฒนาบุคลากร ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทยนับแสนล้าน ผ่าน 3 แกนหลัก 1.ผลักดันภาคการค้า ค้าปลีก-ค้าส่ง สู่ระดับเวิลด์คลาส 2.ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมผลิต ยกระดับสินค้าสู่เวทีโลก 3.บูรณการภาคบริการอย่างครบวงจร (อาหาร สุขภาพ และสันทนาการ)
ในด้านบทบาทที่สำคัญของภาคค้าปลีกต่อการพัฒนาประเทศ ประกอบด้วย
1.สร้างเอสเอ็มอี ภาคการค้ากว่า 1.3 ล้านราย
2.สร้างงานโดยตรงกว่า 6.2 ล้านคน
3.สร้างรายได้ให้รัฐ ผ่านการจ่ายภาษีมากกว่า 5 แสนล้านบาท
ทางด้านข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาภาคค้าปลีกต่อภาครัฐ แบ่งออกเป็นแนวทาง การพัฒนาระยะสั้น ในการกระตุ้นการบริโภค และแนวทางการพัฒนาเพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส แนวทางการพัฒนาระยะสั้น 1.พยุงการจ้างงาน 1.1 ด้วยการจ้างงานรายชั่วโมง ธุรกิจการค้าปลีกสินค้าและบริการมีช่วงเวลาการให้บริการที่ไม่สม่ำเสมอ ช่วงที่ลูกค้าหนาแน่นก็จะเป็นช่วงเที่ยงและช่วงเย็น รวมทั้งเสาร์ อาทิตย์ ซึ่งแตกต่างจากการดำเนินงานภาคผลิตอย่างสิ้นเชิง หากภาครัฐประกาศอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นรายชั่วโมงในช่วงการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ก็จะช่วยกระจายการจ้างงานได้ ขณะเดียวกัน ลูกจ้างก็จะสามารถรับงานได้ยืดหยุ่นและมีระยะเวลาทำงานได้มากขึ้น (สามารถทำงานได้กับหลายบริษัทใน 1 วันได้) ส่วนนายจ้างก็สามารถเพิ่มอัตราการจ้างงาน ให้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่ต้องการได้ สมาคมฯจึงขอเสนอให้กระทรวงแรงงานประกาศค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นรายชั่วโมงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น โดยหากสามารถจ้างงานได้มากกว่า 20% จะสามารถสร้างงานเพิ่มได้มากกว่า 1.2 ล้านอัตรา
1.2 กระตุ้นการบริโภคในวงกว้างผ่านโครงการช็อปช่วยชาติ ด้วยวงเงิน 50,000 ล้านบาท ในกรอบเวลา 60 วัน ซึ่งจะสามารถสร้างเงินสะพัด 75,000 ล้านบาท ภายใน 60 วัน
1.3 กระตุ้นการบริโภคในกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะสินค้าไลฟ์สไตล์นำเข้า ซึ่งปัจจุบันอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์ในไทยสูงถึง 30% ซึ่งสูงที่สุดใน 15 ประเทศในแถบเอเชีย ทำให้คนหันไปซื้อสินค้าที่ต่างประเทศแทน จึงเสนอให้ทดลองปรับลดภาษีนำเข้าชั่วคราวเป็นเวลา 4 เดือน เช่น ลดจากเดิม 30% เป็น 10% จะสามารถสร้างเงินสะพัดได้ถึง 25,000 ล้านบาท ภายใน 4 เดือน
2.ขับเคลื่อน SME ให้อยู่รอดและแข็งแรง เสนอให้มีการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) 0.1% ผ่านผู้ค้าปลีกรายใหญ่ โดยใช้งบประมาณ 25,000 ล้านบาท จากวงเงิน 5 แสนล้านบาทที่รัฐตั้งไว้แล้ว เร่งจ่ายเงิน SME ขนาดเล็กจากเดิม 30 วัน เป็นภายใน 7 วัน ส่งผลให้สามารถเพิ่มสภาพคล่องสู่ SME กว่า 5 แสนรายและไม่สร้างหนี้เสียให้ธนาคารพาณิชย์
ด้านนายนพพร วิฑูรชาติ นายกสมาคมศูนย์การค้าไทย ชูวิสัยทัศน์ผ่าน 3 แผนงาน ได้แก่
1.แผนระยะสั้น : ช่วย SMEs กระตุ้นใช้จ่าย ธุรกิจขายดี เกิดการจ้างงาน
2.แผนระยะกลาง : ส่งเสริมการลงทุน ยกศูนย์การค้าอยู่ในแผนแม่บทพัฒนาประเทศ และ
3.แผนระยะยาว : ผลักดันศูนย์การค้าไทยเป็นจุดหมายระดับโลกทั้งท่องเที่ยวและช็อปปิ้ง ย้ำบทบาทศูนย์การค้าที่รวมธุรกิจ SMEs ทุกประเภททั้งร้านค้า ร้านอาหาร ร้านบริการ กว่า 120,000 ราย เกิดการจ้างงานกว่า 2.4 ล้านคน ช่วยสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนกว่า 750,000 ล้านบาทต่อปี มั่นใจภาครัฐและศักยภาพ ประเทศไทย ตั้งเป้าลงทุนตามแผนกว่า 171,000 ล้านบาทใน 3 ปี (ประมาณ 57,000 ล้านบาทต่อปี) สร้างพื้นที่การขาย 21 ล้าน ตร.ม. นำไปสู่การจ้างงานและความเป็นอยู่ที่ดีของครัวเรือนกว่า 10.6 ล้านคน.