"PhillipLife" พลิกโฉมปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่-แนะนักลงทุนทำกำไรส่งท้ายปี

Business & Marketing

Marketing

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

"PhillipLife" พลิกโฉมปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่-แนะนักลงทุนทำกำไรส่งท้ายปี

Date Time: 4 พ.ย. 2562 00:40 น.

Video

เปิดทริกวางแผนการเงิน เพื่อชีวิตที่มีประสิทธิภาพ

Summary

  • หวั่นภาวะเงินเฟ้อต่ำและสงครามการค้าจีน-สหรัฐ "PhillipLife" เร่งปรับโฉมครั้งใหญ่ตอบโจทย์ลูกค้ายุคไทยแลนด์ 4.0 พร้อมแนะนักลงทุนโค้งสุดท้ายก่อนปลายปีผลตอบแทนอาจไม่เร้าใจ

หวั่นภาวะเงินเฟ้อต่ำและสงครามการค้าจีน-สหรัฐ "PhillipLife" เร่งปรับโฉมครั้งใหญ่ตอบโจทย์ลูกค้ายุคไทยแลนด์ 4.0 พร้อมแนะนักลงทุนโค้งสุดท้ายก่อนปลายปีผลตอบแทนอาจไม่เร้าใจ

นายปรัชญา กุลวณิชพิสิฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟิลลิปประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “PhillipLife” ได้พลิกโฉมใหม่ในหลาย ๆ มิติ เช่น การปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูทันสมัยขึ้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มคนวัยทำงาน และคนรุ่นใหม่ ให้มาเป็นครอบครัวเดียวกัน ซึ่งจะช่วยทั้งการวางแผนชีวิต แผนทางการลงทุน การเงิน การออม ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ที่บริษัทได้ทำขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ายุคไทยแลนด์ 4.0 รวมทั้งเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับลูกค้าให้มีความหลากหลาย เข้าถึงง่ายทั้งข้อมูลข่าวสาร ผลิตภัณฑ์และบริการ พร้อมกับนำเสนอสิ่งใหม่ ๆ ให้วงการประกันชีวิตของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2562

"การลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ภาพรวมตลาดทั้งปี ฝ่ายวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองว่าผลตอบแทนจากการลงทุนจะยังอยู่ในแดนบวก อยู่ที่ประมาณ100 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,600 -1,712 จุด โดยอัตราส่วนราคาต่อกำไร (PE) อยู่ที่ 18.7 เท่า ภาวะเงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยต่ำ สงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกา จะเป็นตัวฉุดให้บรรยากาศการลงทุนไม่คึกคักเท่าที่ควร และมีการเติบโตต่ำ ดังนั้นขอแนะนำว่านักลงทุนไม่ควรคาดหวังกำไรมากเกินไป หรือถ้าขาดทุนควรปรับจุดของการขาดทุน (top-loss) ไว้ใหม่ โดยเชื่อว่าหุ้นจะขึ้น-ลง ไม่แรงมาก เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจ และธุรกิจยังมีหนี้สินไม่มากมาย"



ด้านอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของดัชนีอยู่ที่ประมาณ 3% ปรับตัวลงมาเล็กน้อยจากปี 2561 อยู่ที่ 4% ส่วนปัจจัยลบที่ต้องจับตามองในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ คือ ภาวะเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงไปเหลือ 0.8-0.9% ถือว่าหลุดจากกรอบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินไว้ว่าจะอยู่ที่ 1-3 % ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุน หลังจากที่แบงก์ชาติได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จาก 1.75 % ลดลงเหลือ 1.5 % ตามธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เช่นกัน จาก 2-2.25 % มาที่ 1.75 -2 %”

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ชอบถือหุ้นยาวแนะนำให้ซื้อหลักทรัพย์ที่เป็นกองทุนเกี่ยวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล และเอกชน ส่วนหุ้นรายตัวควรดูราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นต่ำกว่า 1 เท่า อัตราส่วนราคาต่อกำไร (PE)ไม่ควรต่ำกว่า 10 เท่า เงินปันผลควรอยู่ที่ 3-4% นักลงทุนที่ถือระยะยาวควรเน้นปันผลจะปลอดภัยกว่า ส่วนนักลงทุนที่เป็นกลุ่มเทรดดิ้ง แนะนำว่าถ้าดัชนีลงมาที่ 1,600 จุด ควรเป็นจุดเข้าซื้อ ทั้งนี้ หากดัชนีปรับตัวมาอยู่ 1,600 จุดปลายๆ ไม่แนะนำให้เข้าซื้อ แต่ถ้าดัชนีปรับไปถึง 1,700 ควรขายทำกำไร



นอกจากนี้ยังแนะนำให้ซื้อกองทุนรวมอีทีเอฟที่เกาะกับ SET50 ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพราะจะได้ผลตอบแทนดีตาม SET50 ที่ถือว่าเป็นหุ้นเด่นที่ถูกคัดกรองมาแล้ว 50 ตัวแรก ถ้าหากดัชนีต่ำกว่า 1,650 จุด ให้ทยอยซื้อเก็บไว้เรื่อย ๆ ถือไว้ระยะยาว ส่วนนักลงทุนที่มีเงินทุนเป็นรายเดือนแนะนำให้หักแบบดอลล่าร์คอสไว้ ซึ่งบริการดังกล่าว “PhillipLife” ก็มีบริการด้านการลงทุนให้ลูกค้าเช่นกัน.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ