“สมคิด” ร่ายมนต์สะกด ฟิทช์ เรตติ้ง เคลิ้ม พร้อมตอกย้ำ โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทยมีฐานะที่เข้มแข็ง แม้เป็นรัฐบาลผสมแต่ก็มีเข็มทิศชัดเจนในการทำงาน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย มี ครม.เศรษฐกิจคอยกำกับนโยบายเศรษฐกิจ แจงตัวเลขหนี้ครัวเรือนมาจากหนี้ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 33% ถือ เป็นเรื่องดีเพราะเป็นสินทรัพย์
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการหารือร่วมกับนายเจมส์ แมคคอร์แม็ค กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายประเมินความเสี่ยง ความน่าเชื่อถือระดับประเทศ และระหว่างประเทศ บริษัท ฟิทช์ เรตติ้ง ว่า ฟิทช์ เรตติ้ง ได้สอบถามข้อมูลเศรษฐกิจของไทยในหลายๆ ด้าน ทั้งหนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะ ค่าเงินบาท การส่งออก ก่อนนำข้อมูลทั้งหมดไปใช้ในการตัดสินใจเพื่อจัดอันดับประเทศไทยในอีก 4-5 เดือนข้างหน้า
“ฟิทช์ฯได้ยืนยันว่า เรื่องเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี ไม่ใช่เป็นปัจจัยใหญ่ในการกำหนดว่าประเทศไทยจะได้รับการจัดอันดับหรือเรตติ้งดีหรือไม่ดี แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ปัจจัยเชิงโครงสร้างของประเทศ ว่ามีความเข้มแข็งมากน้อยเพียงใด ผมได้ชี้แจงให้ฟิทช์ฯทราบว่า โครงสร้างทางเศรษฐกิจไทยมีฐานะที่เข้มแข็ง แม้ว่าเป็นรัฐบาลผสม แต่ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย โดยรัฐบาลมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ ที่คอยกำกับดูแลนโยบายด้านเศรษฐกิจ ที่พรรคร่วมรัฐบาลต่างรู้และทำหน้าที่ได้ดี และได้ขับเคลื่อนนโยบายให้เดินหน้าให้ได้เร็วที่สุด”
ฟิทช์ฯได้สอบถามเรื่องหนี้ครัวเรือน ซึ่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ยืนยันว่า ขณะนี้ต้องแยกเป็นหนี้ทางด้านอสังหาริมทรัพย์ มากถึง 33% อีก 18% เป็นสินเชื่อเพื่อทำธุรกิจ ขณะที่หนี้ส่วนบุคคลมีเพียง 10% และหนี้บัตรเครดิตมีเพียง 3% เท่านั้น ซึ่งหนี้อสังหาริมทรัพย์และหนี้ธุรกิจที่มีสัดส่วนมาก ถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะถือเป็นสินทรัพย์ เป็นเรื่องที่ควรดีใจ ไม่ใช่เสียใจ และหนี้ภาคธุรกิจถือเป็นสัดส่วนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต โดยถือว่าเป็นทิศทางที่ดี และเป็นนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการผลักดันให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น
ดังนั้น จึงไม่สามารถที่จะนำหนี้ทั้งหมดมารวมกันแล้วบอกว่า เป็นหนี้ครัวเรือนที่นำไปใช้ในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
ขณะที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เป็นเพราะโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และไทยสามารถบริหารจัดการค่าเงินได้ดีขึ้น นับตั้งแต่ปล่อยลอยตัวค่าเงินบาท ขณะเดียวกัน ก็ยังต้องการให้ภาคเอกชนใช้โอกาสนี้ให้ความสำคัญกับการลงทุน เพื่อพัฒนาตัวเองให้สามารถรองรับกับเหตุการณ์ในอนาคตข้างหน้าได้ ไม่ใช่หมายความว่าไทยดำเนินนโยบายเพื่อให้ค่าเงินแข็งค่า สวนทางกับประเทศอื่นๆ เพื่อให้ไทยกลายเป็นแหล่งลงทุนที่มีความปลอดภัยสูง หรือเป็นเซฟเฮฟเว่น ของนักลงทุน เพราะต้องยอมรับว่าตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา สัดส่วนการลงทุนภาคเอกชนต่ออัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ยังไม่ดีขึ้นมาก
“ผมได้ชี้แจงให้ฟิทช์ฯ เข้าใจถึงสถานการณ์ การส่งออกที่รัฐบาลได้ปรับโครงสร้างให้ ทั้งเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศให้มีความสมดุล เพราะที่ผ่านมาไทยยังยากจน จึงต้องพึ่งพาการส่งออกเพื่อทำให้เศรษฐกิจเติบโต แต่การผลักดันการส่งออกไม่สามารถส่งผ่านไปถึงคนจนได้จึงต้องปรับโครงสร้าง โดยในประเทศได้เน้นในเรื่องของการท่องเที่ยวที่เวลานี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเมืองไทยมากถึง 40 ล้านคน”
ดังนั้น ในอนาคตภาคการท่องเที่ยวจะรองรับการว่างงานได้เป็นอย่างดี หากมีการฝึกอาชีพเพิ่มทักษะทำให้การพร้อมเปลี่ยนอาชีพ มารองรับภาคท่องเที่ยวมีอัตราเติบโตที่สูงมาก ขณะที่หนี้สาธารณที่อยู่ในระดับ 40% เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จึงถือว่าอยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลัง
นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวว่า ฟิทช์ ฯมองว่าประเทศไทย ยังมีศักยภาพอยู่มากแม้เศรษฐกิจโลกมีความท้าทายและมีความอ่อนไหวจากปัจจัยหลายด้าน ทำให้ไทยเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่ฟิทช์ฯปรับมุมมองการจัดอันดับของประเทศ จากระดับมีเสถียรภาพ (Stable outlook) เป็นเชิงบวก (Positive outlook) เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เพราะมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพมาก หากเดินหน้าได้ตามยุทธศาสตร์ที่ตั้งไว้ ก็จะเป็นที่สนใจของนักธุรกิจในระดับโลก และคาดว่านักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น.