นายระพีภัทร จันทรศรีวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า บทบาทของกระทรวงเกษตรฯในการสนับสนุนให้ใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ หรือกัญชาเสรี ขณะนี้กระทรวงเกษตรฯจะยังไม่ดำเนินการหรือสนับสนุนแนวความคิดใด แต่กรมวิชาการเกษตรต้องไปศึกษาและวิจัยพันธุ์ของกัญชาที่สามารถปลูกได้ในเมืองไทย ว่ามีจำนวนกี่พันธุ์ และในแต่ละพันธุ์มีสารเสพติด หรือสารที่ใช้ในการแพทย์มากน้อยเพียงใด เพื่อสรุปได้ว่ากัญชาเพื่อการแพทย์ควรใช้พันธุ์อะไรที่จะเหมาะสมในการดำเนินการเพื่อรักษาโรค
“ต้องยอมรับว่าในกัญชามีสารเสพติด แต่มีตัวยาที่ใช้ในทางการแพทย์ได้ เพื่อให้สอดคล้องกับการส่งเสริมและความต้องการ รวมทั้งเพื่อการควบคุม ต้องมีการศึกษาให้รอบคอบ เพื่อการกำกับดูแลด้วย”
นายระพีภัทร กล่าวอีกว่า ได้สั่งการให้อัครราชทูต อัครราชทูตที่ปรึกษา และกงสุลเกษตรทั้ง 11 แห่งทั่วโลก สำรวจความต้องการและร่วมวางกลยุทธ์ เพื่อส่งสมุนไพรไทยไปเปิดตลาดในต่างประเทศ หลังกระแสความนิยมของต่างประเทศเพิ่มขึ้นในการใช้สมุนไพร เพราะไม่มีสารพิษตกค้างและไม่มีผลข้างเคียง ราคาค่ารักษาต่ำ จึงเป็นโอกาสเสริมรายได้ให้กับเกษตรกร โดยปัจจุบันไทยส่งออกสมุนไพรประมาณ 100,000 ล้านบาทต่อปี มูลค่าตลาดโลกมีประมาณ 92,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2.76 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม
ต่างประเทศที่นิยมใช้สมุนไพรมากสุดคือ ญี่ปุ่น เยอรมนี และฝรั่งเศส ส่วนประเทศที่มีโอกาสทางการค้าได้แก่ จีน เวียดนาม และญี่ปุ่น.