คุยกับ Sliptosleep ชุดนอนโนบราไทย ไวรัลระดับโลก หยิบ "ชีวิตจริงของผู้หญิง" มาสร้างธุรกิจ

Business & Marketing

Executive Interviews

Content Partnership

Content Partnership

Tag

คุยกับ Sliptosleep ชุดนอนโนบราไทย ไวรัลระดับโลก หยิบ "ชีวิตจริงของผู้หญิง" มาสร้างธุรกิจ

Date Time: 29 ธ.ค. 2568 06:00 น.
Content Partnership

Summary

  • คุยกับ Sliptosleep ผู้ปลุกกระแส “ชุดนอนโนบรา” เรื่องราวความยากของการปั้นธุรกิจที่ยังไม่มีใครทำ สู่ธุรกิจที่ทำยอดขายกว่า 100 ล้านบาทต่อปีและมียอดขายใน 74 ประเทศทั่วโลก

สำหรับผู้หญิงไทยจำนวนมากความสบายในบ้านอาจต้องแลกมากับความไม่มั่นใจ ชุดนอนที่ใส่สบาย แต่กลับไม่กล้าเดินไปไหน หรืออยากจะถอดบรา แต่ก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยกับตัวเอง Sliptosleep เกิดขึ้นจากคำถามง่ายๆ แบบนั้น คำถามที่ผู้หญิงหลายคนเคยถามตัวเอง แต่ไม่เคยมีใครทำมันออกมาอย่างจริงจัง

Thairath Money คอลัมน์พิเศษ BrandStory Exclusive ครั้งนี้พูดคุยกับ นีท-อมลานันท์ สังสิทธิวงศ์ และ อิ้ว-วรรณิต บุญเจริญทวีสุข สองผู้ก่อตั้งแบรนด์ Sliptosleep ผู้ปลุกกระแส “ชุดนอนโนบรา” ที่เปลี่ยนตลาดชุดนอนผู้หญิงในประเทศไทยให้กลายเป็นไวรัลไกลถึงต่างประเทศ เรื่องราวความยากของการปั้นธุรกิจที่ยังไม่มีใครทำ ความกล้าในการเปลี่ยนไอเดียจากปัญหาจริงของผู้หญิงสู่ธุรกิจที่ทำยอดขายกว่า 100 ล้านบาทต่อปีและมียอดขายใน 74 ประเทศทั่วโลก

“ตอนคุยกันแรกๆ เราไม่ได้มีไอเดียธุรกิจเป็นสิบอย่างนะคะ เราคุยกันตรงๆ เลยว่าอะไรคือของที่เราหาแล้วไม่เจอ คำตอบตรงกันมากคือ “ชุดนอน” เราหาชุดนอนที่ถูกใจจริงๆ ไม่เจอ ทั้งเรื่องเนื้อผ้า ราคาและฟังก์ชัน โดยเฉพาะแบรนด์ไทย ตอนนั้นแทบไม่มีภาพจำเลย”

นีท-อมลานันท์ สังสิทธิวงศ์ เริ่มต้นเล่าให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นของอาชีพเซลส์และความรักในการขายของ แพชชั่นที่ตนอยากลองขายสินค้าที่ผลิตเอง เพราะอยากตอบคำถามที่มีต่อสินค้าได้อย่างจริงใจและรู้กระบวนการทั้งหมด ทำให้ตนเริ่มมองหาพาร์ทเนอร์มาร่วมปั้นธุรกิจ ขณะเดียวกันที่ อิ้ว-วรรณิต บุญเจริญทวีสุข เพื่อนสนิทตั้งแต่ประถมที่มีความฝันลึกๆ ในการเป็นเจ้าของธุรกิจอยู่แล้วนั้นก็ได้ตอบตกลงทันที เมื่อถูกชวนมาร่วมอุดมการณ์

ทั้งสองเล่าต่อว่า Pain Point แรกในการเลือกทำชุดนอนเกิดจากที่ทั้งคู่หาชุดนอนที่ถูกใจในตลาดไทยไม่เจอ ทั้งด้านคุณภาพ คุณสมบัติ และราคา หากย้อนกลับไป 4-5 ปีก่อน แบรนด์ชุดนอนที่ขายเป็นเซตและมีคุณภาพดีมีแต่แบรนด์ต่างประเทศจนเกิดคำถามว่าทำไมประเทศไทยถึงไม่มีแบรนด์ชุดนอนที่จริงจังกับเรื่องนี้เลย

“โดยหลังจากที่เห็นช่องว่างการตลาดตรงนี้เราก็เริ่มรีเสิร์ชตลาดชุดนอนอย่างจริงจัง ปรากฏว่ามีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำว่า “ทำชุดนอนที่ไม่ต้องใส่บราไหม” จากนั้นทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้น…”

ชุดนอนได้นอน สบาย ไม่ต้องใส่บรา

“ชุดนอนโนบรา ถ้าเราไม่ทำก็คงไม่มีแบรนด์ Sliptosleep ในวันนี้ เพราะนี่คือจุดเด่นที่สุดของแบรนด์ มันไม่ได้เกิดจากความคิดใหญ่โต แต่เกิดจากชีวิตจริง” อิ้ว เล่าต่อว่า พวกเธอเจอสถานการณ์นี้ไม่ต่างกัน คือ เวลาอยู่บ้านจะต้องใส่เสื้อผ้าโคร่งๆ ต้องก้ม ต้องหลบ เธอเลยเอาไอเดียนั้นมาพัฒนาต่อว่าจะทำอย่างไรให้ชุดนอนสามารถใส่ได้โดยไม่ต้องใส่บราและยังรู้สึกสบายใจอยู่

“ตอนนั้นคำว่า “ชุดนอนโนบรา” ยังไม่มีในตลาด เราศึกษากันอยู่นานว่าจะสื่อสารอย่างไรให้สุภาพ และเข้าใจง่าย หรือแม้กระทั่งวิธีการตัดเย็บ เราต้องทดลองกันหลายรอบมาก ทุกคนกังขาว่าไอเดียนี้มันจะดีเหรอ คนจะซื้อไหม แต่เราก็ไม่ยอมแพ้ เพราะเราเชื่อในคอนเซ็ปต์”

บทเรียนธุรกิจแรกของ Sliptosleep ที่ทั้งสองพบหลังจากเริ่มต้นทำไอเดียให้เกิดขึ้นจริง คือ ความท้าทายในการลงไปเล่นในสนามที่ไม่มีใครรู้จัก ตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกวัตถุดิบ การพัฒนาแพทเทิร์น การผลิตและตัดเย็บที่ต้องออกแบบใหม่โดยเฉพาะ ตลอดจนการสื่อสารตัวสินค้าเพื่อสร้างภาพจำใหม่ๆ ในตลาดเดิม ซึ่งทั้งหมดทั้งสองตัดสินใจที่จะท้าทายและเรียนรู้ทุกกระบวนการด้วยตัวเอง

“ไอเดียชุดนอนโนบราเกิดขึ้นจากการที่เราตั้งใจหาสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์สร้างความแตกต่างจากชุดนอนทั่วไป เราไม่อยากทำแค่ชุดนอนที่น่ารักอย่างเดียว แต่โนบราได้ใส่สบายด้วย เราทำรีเสิร์ชอย่างจริงจังและได้รับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของผู้หญิงที่ไม่อยากสวมบราตลอดเวลาเมื่ออยู่บ้าน อย่างไรก็ตามไอเดียนี้ถือเป็นสิ่งใหม่มาก แม้แต่คำว่า “ชุดนอนโนบรา” ก็ยังไม่มีใน Google พวกเราต้องทดลองและปรับปรุงซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเกือบจะถอดใจ” ทั้งสองกล่าว

“เราสองคนไม่ใช่สายแฟชั่นเลย คนหนึ่งเรียนสื่อสาร อีกคนเรียนวิศวะ เคยคิดจะจ้างคนมาทำทุกอย่างให้ แต่สุดท้ายคุยกันว่าถ้าเป็นแบบนั้น เราจะไม่เข้าใจธุรกิจจริงๆ เราเลยเริ่มใหม่ทั้งหมด เดินหาผ้าที่พาหุรัด เรียนรู้เรื่องผ้าเอง เรานั่ง QC เองทุกตัว รื้อของเต็มบ้าน ใช้เวลาหลายชั่วโมงกับรายละเอียดเล็กๆ ที่ลูกค้าจะมองเห็น”

อิ้ว เล่าถึงความยากว่า สินค้าที่พวกเธอพยายามทำนั้นไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งการทำชุดนอนโนบราที่เราใส่กระเป๋าทั้ง 2 ข้างในตำแหน่งที่พอดีกับหน้าอกนับเป็นเรื่องใหม่สำหรับโรงงานมาก เมื่อก่อนทำกระเป๋าข้างเดียว ตำแหน่งเบี้ยวหน่อยลูกค้าก็ไม่รู้ แต่การทำกระเป๋าสองข้างเพื่อซัพพอร์ตหน้าอก ถ้าเบี้ยวเล็กน้อยลูกค้าจะเห็นทันที ดังนั้นโรงงานจึงต้องฝึกฝนไปพร้อมกัน ต้องใช้เวลาปรับแก้ QC กันเอง 100%

“การทำชุดนอนให้ “โนบราได้จริง” มันไม่ใช่แค่ปิดหน้าอก แต่ต้องครอบคลุมสรีระผู้หญิงทุกแบบ เราเทสต์ทุกอย่าง ความหนา จำนวนชั้นผ้า ตำแหน่ง ความสูง ความกว้างใช้เวลามากกว่า 1 ปี และปรับแพทเทิร์นใหญ่ไปถึง 3 ครั้ง” นีท เสริม

พวกเธอเก็บข้อมูลเชิงลึกตั้งแต่เริ่มต้นทำ รวมถึงทุกครั้งที่มีลูกค้าขอคืนเงินเพื่อนำไปปรับตำแหน่งและขนาดของกระเป๋า ซึ่งมีการออกแบบให้เหมาะสมกับสรีระของผู้หญิงในแต่ละไซส์อย่างละเอียด ทำให้ชุดนอนของ Sliptosleep มีไซส์หลากหลายตั้งแต่ S-XXL และแต่ละไซส์มีการปรับตำแหน่งกระเป๋าที่ซ่อนด้านในไม่เท่ากันเพื่อให้ครอบคลุมสรีระของผู้หญิงทุกกลุ่มอย่างแท้จริง โดยปัจจุบันที่ระบบทุกอย่างสมบูรณ์แบบเรากล้ายืนยันว่า “ถ้าไม่ปิดจุกแบรนด์ยินดีคืนเงินทุกกรณี”

ขายชุดนอนได้ 100 ล้านบาทต่อปี กลายเป็น “Must Buy Item” ที่คนจากทั่วโลกต้องซื้อกลับ

จากความตั้งใจทำกำไรเดือนละ 7,000 บาท ตอนนี้ Sliptosleep เติบโตอย่างก้าวกระโดดจนมียอดขายทะลุหลัก 100 ล้านบาทต่อปี นับตั้งแต่วันแรกที่ทั้งสองนำสินค้าไปลงขายที่ Chula Marketplace ในช่วงโควิดและได้รับฟีดแบคที่ดีเกินคาดจนผลิตไม่ทัน ทำให้พวกเธอเริ่มมั่นใจในคอนเซ็ปต์ชุดนอนโนบราและกลายเป็นแรงผลักดันให้พวกเธอพัฒนาคุณภาพสินค้าอย่างต่อเนื่อง

ทั้งสองเล่าว่า พวกเธอตั้งเป้าหมายให้ Sliptosleep ไม่ใช่แค่เป็นชุดนอนในใจคนไทย แต่ต้องเป็นชุดนอนในใจคนทั่วโลกด้วย โดยหลังจากที่แบรนด์ได้รับการยอมรับจากลูกค้าในไทยและเริ่มมั่นใจว่าแบรนด์สามารถสร้างพื้นที่ในตลาดไทยได้แล้วนั้น พวกเธอก็เริ่มต้นรุกตลาดลูกค้าต่างชาติด้วยการตัดสินใจเปิดร้านในโลเคชั่นที่มีนักท่องเที่ยวเยอะอย่าง Siam Paragon และ Central World เพื่อทดลองตลาด

“สินค้าของ Sliptosleep ทำหน้าที่เป็น Marketing ในตัวเองอยู่แล้ว ทั้งดีไซน์ สีสัน และคอนเซปต์โนบรา ลูกค้าต่างชาติชื่นชอบคอนเซ็ปต์นี้มากจนเกิดการบอกต่อกันปากต่อปาก ทำให้ปัจจุบันสินค้าของเรามียอดขายใน 74 ประเทศทั่วโลกและสิ่งที่สร้างความภูมิใจสูงสุด คือ การที่เราได้รับเลือกให้ไปปรากฏบนรันเวย์ของ New York Fashion Week ในฐานะแบรนด์ชุดนอนแบรนด์เดียวในงานนั้น มันพิสูจน์ให้เห็นว่าความตั้งใจและนวัตกรรมของเราว่าแบรนด์สามารถก้าวไปสู่เวทีระดับโลกได้จริง”

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ จากการฟังเสียงของลูกค้า

ในวันที่ “ชุดนอน” ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าใส่นอน แต่เป็นพื้นที่ใหม่ของนวัตกรรม ไลฟ์สไตล์ และการแสดงตัวตนของผู้หญิงยุคใหม่ Sliptosleep คือหนึ่งในแบรนด์ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าตลาดที่ดูธรรมดาสามารถเติบโตสู่ระดับโลกได้ หากเริ่มต้นจาก Pain Point เล็กๆ ในชีวิตประจำวันและพัฒนาอย่างจริงจังจนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม

“สำหรับเราสูตรสำเร็จไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่คือการทำทุกอย่างด้วย ความจริงจัง และ ความจริงใจ เราวางโครงสร้างธุรกิจอย่างละเอียดตั้งแต่แรกเริ่ม แม้จะเป็นธุรกิจเล็กๆ แต่เราทำเสมือนเป็นโปรเจกต์ 100 ล้านตั้งแต่วันแรก เราวางโครงสร้าง วางกลยุทธ์ และให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียด เราใช้เวลาทำรีเสิร์ชและพัฒนาเยอะมาก เราตั้งใจทำอย่างจริงจังจนทำให้รากฐานของแบรนด์แข็งแกร่ง”

ทั้งสอง อธิบายถึงหลักการทำงานที่พวกเธอยึดถือว่า “สูตรสำเร็จของแบรนด์” ไม่ใช่เรื่องใหม่และซับซ้อนอะไร แต่คือการฟังเสียงจากลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ Sliptosleep เติบโตมาจากการรับฟังฟีดแบคทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นคำชมหรือคำติชม เพราะทุกเสียงคือข้อมูลที่เรานำมาใช้พัฒนาสินค้าอย่างไม่หยุดยั้ง และตั้งใจทำทุกรายละเอียดของชุดนอนให้ดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับคือสินค้าคุณภาพที่ตั้งใจทำเพื่อพวกเขา

“วันนี้เราได้รับคำขอบคุณเป็นเครื่องยืนยัน ลูกค้าขอบคุณที่เราทำสินค้านี้ออกมา ทำชุดนอนที่เข้าใจผู้หญิงอย่างแท้จริง เรารู้สึกว่ามันจะมีสินค้าสักกี่แบรนด์บนโลกที่ลูกค้าขอบคุณที่ทำสินค้านี้ออกมาขาย ตอนนี้ลูกค้าไม่ว่าจากทวีปไหนก็ต้องการชุดนอนโนบราของเรา”


Author

Content Partnership

Content Partnership