
ท่ามกลางข่าวคราวเรื่องแก๊งสแกมเมอร์และการฟอกเงินที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่สำคัญยิ่งต่อเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือของระบบการเงินโลก
ปรากฏการณ์ที่มูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงมีขนาดใหญ่ระดับ “อุตสาหกรรม” กำลังทำให้ไทยเสี่ยงที่จะถูกมองจากนานาชาติว่าไม่ใช่เพียง “เหยื่อ” ของอาชญากรรมทางการเงินเท่านั้น แต่กำลังกลายเป็น “ผู้สมรู้ร่วมคิด” หรืออาจเลวร้ายถึงขั้นถูกตราหน้าว่าเป็น “ศูนย์กลางการฟอกเงิน” ด้วยตัวเอง
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) วิเคราะห์อย่างเฉียบคมในรายการ Thairath Money Night Stand EP.23 : แก๊งสแกมเมอร์ ฟอกเงินในไทย ถ้าไม่รีบเปลี่ยน ไทยแย่แน่ ! ว่า หากประเทศไทยไม่เร่งปรับปรุงระบบป้องกันและกำกับดูแลให้เข้มข้นทัดเทียมศูนย์กลางทางการเงินอื่น ๆ ในโลก ผลกระทบจะรุนแรงเกินกว่าที่คาดคิดไว้อย่างแน่นอน
หากมองให้ลึกกว่าข่าวอาชญากรรมรายวันทั่วไป คำถามสำคัญที่คนธรรมดาส่วนใหญ่อยากรู้ คือ “ทำไมประเทศไทย เดินทางมาถึงจุดนี้ได้”
ในประเด็นดังกล่าว ดร.พิพัฒน์ อธิบายว่า การที่ประเทศไทยถูกจับตามองในฐานะแหล่งพักเงินหรือฟอกเงิน มีปัจจัยหลักมาจากมูลค่าของ “อุตสาหกรรมสแกม” ระดับโลก ที่ขยายตัวอย่างมหาศาล ประกอบกับช่องโหว่ในระบบการเงินที่ยังไม่สมบูรณ์เพียงพอ
ว่ากันว่า มูลค่าความเสียหายจากการสแกมระดับโลกนั้น ใหญ่โตเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา มีการประเมินว่าการหลอกลวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดูดเงินจากพลเมืองสหรัฐฯ ไปปีละนับหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมื่อเม็ดเงินผิดกฎหมายจำนวนมหาศาลพุ่งเข้าสู่จุดใดจุดหนึ่ง ย่อมต้องมี “บริการฟอกเงิน” รองรับนั่นเอง
ระบบธนาคารพาณิชย์ของไทยมีมาตรฐานสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในด้านการทำ KYC (Know Your Customer) และการควบคุมธุรกรรมเงินสดขนาดใหญ่ เช่น การฝากหรือถอนเกิน 2 ล้านบาทต้องรายงานต่อ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง. ) เสมอ เปรียบเสมือนการสร้าง “รั้วสูง” ที่ช่วยป้องกันได้ในระดับหนึ่ง
แต่ปัญหาคือ “รั้วนี้ไม่ได้กั้นทุกด้าน” เพราะยังมีระบบการเงินอีกหลายรูปแบบที่ทำหน้าที่คล้ายธนาคาร แต่ไม่ถูกกำกับด้วยมาตรฐานเดียวกัน จึงกลายเป็น “ช่องโหว่” ที่เปิดทางให้เงินผิดกฎหมายไหลเข้ามาได้โดยง่าย
ตัวอย่างช่องโหว่สำคัญ ได้แก่
จาก “รั้วสูงแต่มีช่องโหว่” ดร.พิพัฒน์ ขยายความต่อว่า ปัญหานี้เองก็ได้ขยายไปสู่โลกการเงินรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะ ตลาดคริปโตฯ ซึ่งแม้จะเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่เติบโตเร็ว แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็น “สวรรค์ของนักฟอกเงินยุคดิจิทัล”อย่างแท้จริง
พร้อมเตือนว่า หากไทยยังขาดมาตรฐานการกำกับดูแลในระดับสากล เช่นเดียวกับที่ Financial Action Task Force หรือ "คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน" และ Financial Crimes Enforcement Network ซึ่งเป็นเครือข่ายปราบปรามอาชญากรรมทางการเงินของสหรัฐฯ สังกัดกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ใช้กัน เราอาจถูกตัดขาดจากเครือข่ายความน่าเชื่อถือทางการเงินโลกโดยปริยาย
สำหรับมาตรการที่ไทยขาดไป เช่น ...
นอกจากคริปโตฯ แล้ว ยังมี “สินทรัพย์มูลค่าสูงที่ตรวจสอบยาก” ซึ่งกลายเป็นอีกช่องทางหนึ่งของการฟอกเงินแบบดั้งเดิมที่ยังคงอยู่ในสังคมไทย เช่น พระเครื่อง ภาพวาด ของสะสม ที่ไม่มีราคาตลาดมาตรฐาน และซื้อขายได้โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน หรือ ทองคำ เพราะแม้จะมีเกณฑ์ควบคุม แต่การส่งออกทองคำขนาดใหญ่ยังต้องตรวจสอบ “ผู้รับผลประโยชน์สุดท้าย” อย่างจริงจัง รวมไปถึง วัดและมูลนิธิ เงินบริจาคจำนวนมาก โดยเฉพาะที่หักภาษีได้ ควรถูกเปิดเผยและตรวจสอบมากกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบ
ฉะนั้น เมื่อ “รูรั่ว” เหล่านี้ยังไม่ได้รับการปิดกั้น ผลกระทบย่อมลุกลามจากเรื่อง “อาชญากรรมทางการเงิน” ไปสู่ “เศรษฐกิจมหภาค” และ “ภาพลักษณ์ประเทศ”
“ถ้าวันหนึ่งเราอยากจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคขึ้นมาจริง ๆ เราไม่สามารถเป็นได้แน่ ๆ หากยังมีช่องโหว่เหล่านี้อยู่”
ดร.พิพัฒน์เตือนว่า ประเทศไทยอาจต้องเผชิญผลกระทบ 3 ระดับพร้อมกัน
แม้การแก้ไขทั้งหมด จากสภาพปัญหาที่ใหญ่ระดับอุตสาหกรรมโลกขนาดนี้ อาจดูเป็นเรื่องยาก แต่ดร.พิพัฒน์ย้ำว่า สิ่งสำคัญ คือ การเริ่มต้นที่ทำได้จริง และจุดนั้น คือ ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเนื่องจากผู้ประกอบการคริปโตฯ ทุกแห่งในไทยต้องได้รับใบอนุญาตจาก สำนักงาน ก.ล.ต. (SEC) หน่วยงานนี้จึงมีอำนาจกำหนดมาตรการได้ทันที หากมีความร่วมมือกับ ธปท. และ ปปง.
โดยวิธีป้องกันและดูแลนั้น ทำได้ทันทีหลายแง่ เช่น
“ถ้าเราไม่เอาตัวเองออกมาจากความเสี่ยง เราเอาตัวเองไปพัวพันกับความเสี่ยงพวกนี้ ผมคิดว่าเราอันตรายมาก เพราะภาพพจน์ประเทศมันก็จะสูญเสียไปเลย”
ท้ายที่สุด ปัญหาการฟอกเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป มันคือจุดตัดระหว่าง “ระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน” กับ “ระบบที่เปราะบางและไร้ความน่าเชื่อถือ” และดูเหมือนว่า การกวาดบ้านให้สะอาดด้วยมาตรการที่เข้มข้นและเป็นสากลในวันนี้ ไม่เพียงช่วยปกป้องประชาชนไทยจากภัยสแกมเมอร์ แต่ยังเป็นการสร้าง “เกราะป้องกันเศรษฐกิจ” และ “ความเชื่อมั่นในระบบการเงินไทย” ให้มั่นคงในระยะยาว และนั่นอาจเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนสถานะของประเทศไทย จาก “เป้าหมายของมิจฉาชีพ” สู่ “ศูนย์กลางทางการเงินที่โปร่งใสที่สุดในภูมิภาค” อย่างแท้จริง
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https:// www.facebook.com/ThairathMoney