วีรสิทธิ์ สินเจริญกุล ผู้นำ กลุ่มบริษัทศรีตรัง เปลี่ยนผ่านธุรกิจยางพารารายใหญ่ ผสาน AI ความยั่งยืน

Business & Marketing

Executive Interviews

Content Partnership

Content Partnership

Tag

วีรสิทธิ์ สินเจริญกุล ผู้นำ กลุ่มบริษัทศรีตรัง เปลี่ยนผ่านธุรกิจยางพารารายใหญ่ ผสาน AI ความยั่งยืน

Date Time: 30 ต.ค. 2568 10:00 น.
Content Partnership

Summary

  • หนึ่งในองค์กรไทยที่น่าจับตามองในการเดินหน้าทรานส์ฟอร์มธุรกิจขนาดใหญ่ คือ กลุ่มบริษัทศรีตรัง ผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลก และผู้ผลิตถุงมือยางอันดับหนึ่งของประเทศไทย

ในโลกยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความผันผวนอย่างหนัก ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกองค์กรจำเป็นต้องเผชิญกับ ความท้าทายแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI ที่ได้กลายเป็นตัวเร่งให้ทุกธุรกิจ ต้องมีการทรานส์ฟอร์มอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงความอยู่รอดเท่านั้น แต่กลับเป็นความสามารถในการสร้างความได้เปรียบ และโอกาสใหม่ๆ ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

หนึ่งในองค์กรไทยที่น่าจับตามองในการเดินหน้าทรานส์ฟอร์มธุรกิจขนาดใหญ่ คือ กลุ่มบริษัทศรีตรัง ผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติ ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลกและผู้ผลิตถุงมือยางอันดับหนึ่งของประเทศไทย ที่วันนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็น "โรงงาน" หรือ "ผู้ส่งออก" แต่กำลังขับเคลื่อนการปรับตัวครั้งใหญ่ ทั้งในเชิงกลยุทธ์ การใช้เทคโนโลยี และการสร้างความยั่งยืน ให้สอดคล้องกับโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ในบทความนี้ Thairath Money ได้พูดคุยกับ คุณวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ผู้นำรุ่นใหม่ที่มาพร้อมมุมมองระดับสากล เบื้องหลังการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ ที่ทำให้กลุ่มบริษัทศรีตรังพร้อมสำหรับการก้าวสู่ยุคใหม่ และยกระดับมาตรฐานทั้งวงการ

“กลุ่มบริษัทศรีตรัง” มากกว่าผู้ผลิตยาง: เครือข่ายซัพพลายเชนระดับโลก 

"กลุ่มบริษัทศรีตรัง" ในฐานะผู้นำธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นองค์กรที่ยืนหยัดมากว่า 38 ปี จากธุรกิจครอบครัวที่เริ่มต้นในภาคใต้ สู่เครือข่ายซัพพลายเชนครบวงจรที่มีโรงงานมากกว่า 40 แห่งทั่วไทย รายได้หลักแสนล้านบาท ครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 30% ในประเทศไทย และ 10-12% ในตลาดโลก ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่น่าภาคภูมิใจสำหรับบริษัทไทย ในเวทีการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ระดับโลก

"จุดแข็งที่สำคัญที่สุดของเราคือการมีเครือข่ายซัพพลายเชนที่ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ วันนี้ศรีตรังมีโรงงาน กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทั้งภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคเหนือ รวมทั้งสิ้น 41 โรงงาน และมีซัพพลายเชนที่ครอบคลุมกว่า 9 ประเทศทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตตั้งอยู่ใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย เมียนมาร์ และไอวอรี่โคสต์ที่แอฟริกา อีกทั้งยังมี  Trading Office และ Hub Office ต่างๆ ในสิงคโปร์ จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา แน่นอนว่า การมีเครือข่ายในหลายประเทศนี้ ทำให้เราได้ข่าวสารหรือเห็นภาพที่กว้างมากขึ้น" คุณวีรสิทธิ์ เล่าถึงจุดแข็งที่ทำให้กลุ่มบริษัทศรีตรัง ก้าวสู่องค์กรไทยที่ยืนในระดับโลก

ในฐานะบริษัทที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1987 การรักษาความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเป็นสิ่งที่ศรีตรังให้ความสำคัญมาโดยตลอด

"เรามีความสัมพันธ์ยั่งยืนกับทุกฝ่าย ทั้งเกษตรกร ลูกค้า ผู้ถือหุ้น นักลงทุน ธนาคาร เราก็รักษาเครดิตและ relationship ที่ดีตลอดมา" คุณวีรสิทธิ์กล่าว

อีกหนึ่งจุดแข็งที่สำคัญคือความสามารถในการรักษามาตรฐานระดับสากลของการส่งมอบสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในภาวะที่ ผันผวน "ความผันผวนเป็นเรื่องธรรมดาของสินค้าโภคภัณฑ์อยู่แล้ว แต่เราสามารถส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องตลอด"

Digital Transformation ของกลุ่มบริษัทศรีตรัง: จาก Automation สู่ AI Revolution

แต่ความแข็งแกร่งของเครือข่ายเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในยุคที่การแข่งขันรุนแรงเช่นนี้ กลุ่มบริษัทศรีตรัง จึงมีการปรับเปลี่ยนองค์กรด้วยเทคโนโลยีมาอย่างต่อเนื่อง โดยการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลของศรีตรังไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นการวางรากฐานมาอย่างเป็นระบบยาวนานกว่าหลายสิบปี จนกระทั่งก้าวสู่ยุค AI อย่างเต็มรูปแบบในปัจจุบัน

รากฐานการเปลี่ยนแปลง : Automation ที่ปฏิวัติโรงงาน

หากจะย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล คงต้องเริ่มตั้งแต่การนำระบบ Automation เข้ามาใช้ในโรงงาน คุณวีรสิทธิ์เล่าว่า "ก่อนหน้า 10-15 ปีที่ผ่านมา เรามีการผลักดันเรื่องของ Automation ภายในโรงงาน เรามองหาเทคโนโลยี ชั้นนำทั่วโลก สมัยก่อนก็มีจากอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น ปัจจุบันก็หาจากจีน ไต้หวัน มาเลเซีย แม้กระทั่งสิงคโปร์"

“ในอดีตโรงงานยางแท่ง 1 โรง มีพนักงานประมาณ 500 คน ผลิตได้ 5,000 ตันต่อเดือน แต่เรามีการทำ Productivity และ Lean Process รวมถึงการนำระบบ Automation มาปรับใช้ภายในโรงงาน ซึ่งทำให้สามารถผลิตได้มากขึ้น ปัจจุบันใน 1 โรงงานมีพนักงาน 130-150 คน ผลิตได้ประมาณ 7,000 – 9,000 ตันต่อเดือน ซึ่งเราไม่ได้ลดจำนวนพนักงานลง แต่ปรับการกระจายกำลังพลให้เหมาะสมกับโรงงานทั้งกว่า 40 โรงงานทั่วประเทศของเรา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและโอกาสในการทำงานที่ทั่วถึงมากขึ้น” 

นี่คือผลลัพธ์จากการนำ Automation มาใช้ เพราะในมุมมองของคุณวีรสิทธิ์นั้น การเพิ่ม Productivity นี้ไม่ได้หมายถึงการปรับลดพนักงาน แต่เป็นการจัดสรรทรัพยากรมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

นอกจากนี้แล้ว เพื่อให้ควบคู่ไปกับ Automation ในโรงงาน กลุ่มบริษัทศรีตรังได้วางรากฐานด้าน Digitalization อย่างเป็นระบบ ด้วยการนำ ERP System เข้ามาใช้เป็นการปฏิวัติวิธีการทำงานขององค์กร ทำให้ข้อมูลจากทุกหน่วยธุรกิจเชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อ การวางระบบเหล่านี้ส่งผลให้บริษัทมีความพร้อมอย่างมากสำหรับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในยุคถัดมา

ก้าวสู่ยุค AI : ศรีตรังสร้าง AI Center ของตัวเอง

จนกระทั่งในยุค AI ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของบริษัทที่เกิดขึ้นในปี 2024 บริษัทได้มีการประกาศจัดตั้ง AI Center ซึ่งเป็นหน่วยงานภายในที่ดูแลด้าน AI โดยเฉพาะของบริษัทอย่างเป็นทางการ

"เรามีทีมงาน AI ของเราเองเลย นำโดยคนรุ่นใหม่ และตั้งเป็น AI Center ของบริษัท โดยมีทีมงานมากกว่า 20 คน" คุณวีรสิทธิ์เปิดเผยถึงความจริงจังในการลงทุนด้านบุคลากร

สิ่งที่น่าสนใจคือแนวทางที่ศรีตรังเลือก "เราเป็นทั้ง AI User และ AI Builder โดยเราสามารถสร้าง AI ภายในของเราเองได้แล้ว เราไม่ได้เป็นบริษัทสร้าง AI ขาย แต่เราสามารถ Customize ให้เข้ากับบริบทของเราได้"

คุณวีรสิทธิ์ยกตัวอย่าง AI ที่ศรีตรังพัฒนาขึ้นเองว่า แต่ละตัวตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะขององค์กร เช่น Manufacturing AI ที่เป็นการยกระดับจาก Automation ทั่วไป ไปสู่ Smart Manufacturing Internal Knowledge Management Assistant เป็น AI ภายในที่ทำหน้าที่เสมือนผู้ช่วยเสมือนจริง ให้พนักงานสามารถค้นหาและสอบถามข้อมูลของบริษัทได้อย่างรวดเร็ว มั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูล AI Quality Screening ใช้ Computer Vision ในการตรวจสอบคุณภาพ  และ OCR Agent Workflow ระบบจัดการเอกสารอัจฉริยะ เป็นต้น 

แน่นอนว่า การเปลี่ยนผ่านองค์กรด้วย AI เช่นนี้ องค์กรจะต้องมีการลงทุนและการพัฒนาบุคลากรเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต โดยคุณวีรสิทธิ์เปิดเผยถึงการลงทุนที่สะท้อนความจริงจังในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI ว่า “การลงทุนด้าน AI ของศรีตรังถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่มีมูลค่าและความสำคัญเทียบเคียงกับการสร้างโรงงานใหม่ ไม่ได้มุ่งหวังผลตอบแทนจากการขาย AI แต่เน้นการสร้างประโยชน์เชิงธุรกิจในระยะยาว ทั้งการลดต้นทุน การประหยัดเวลา และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน” องค์กรจะต้องมีการลงทุนและการพัฒนาบุคลากรเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต โดยคุณวีรสิทธิ์เปิดเผยถึงการลงทุนที่สะท้อนความจริงจังในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI ว่า “การลงทุนด้าน AI ของศรีตรังถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่มีมูลค่าและความสำคัญเทียบเคียงกับการสร้างโรงงานใหม่ ไม่ได้มุ่งหวังผลตอบแทนจากการขาย AI แต่เน้นการสร้างประโยชน์เชิงธุรกิจในระยะยาว ทั้งการลดต้นทุน การประหยัดเวลา และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน”

ศรีตรังมีระบบดิจิทัลพื้นฐานในระดับกลางที่พร้อมสำหรับการต่อยอด ทั้งด้าน Digitalization และ AI ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถขยายการใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างเป็นระบบในอนาคต

“ต้องยอมรับว่าความพร้อมด้าน AI ของเราอาจยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่สิ่งที่ทำให้การ Transform ประสบความสำเร็จคือความร่วมมือและการเปิดใจของพนักงาน ที่พร้อมเรียนรู้และปรับตัวภายใต้กระบวนการ Change Management”  คุณวีรสิทธิ์กล่าว

Green Rubber Company - วิสัยทัศน์สู่ความยั่งยืนระดับโลก

นอกจากเรื่องของเทคโนโลยี ที่กลุ่มบริษัทศรีตรังให้ความสำคัญ ยังมีอีกเป้าหมายหลักของบริษัท คือ ความยั่งยืน โดยมีวิสัยทัศน์ คือ “เราเป็นองค์กรแห่งความมุ่งมั่นและทุ่มเท ในการขับเคลื่อนทุกความเป็นไปได้” ศรีตรัง…บริษัทยางสีเขียว คุณวีรสิทธิ์อธิบายถึงเป้าหมายที่ชัดเจนว่า เราดำเนินงานบนกลยุทธ์ 4 Green

1. Green Procurement: การสรรหาวัตถุดิบสีเขียว 

ศรีตรังให้ความสำคัญกับการจัดหาวัตถุดิบที่มาจากแหล่งที่ยั่งยืน ไม่ทำลายป่า ไม่ใช้แรงงานเด็ก และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอน

2. Green Process: กระบวนการผลิตสีเขียว

ศรีตรังไม่ใช้พลังงานอย่างถ่านหินหรือน้ำมัน โดยเราใช้ไบโอแมสมานานเป็น 20 ปีแล้ว และใช้ 100% นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนครั้งใหญ่ในพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมีการลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อติดตั้งโซลาร์เซลล์ 42 เมกะวัตต์ ใน 80-90% ของโรงงานตามแผน

3. Green Product: ผลิตภัณฑ์สีเขียว

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การผลิต การใช้งาน จนถึงการกำจัดหรือรีไซเคิล

4. Green Company: บริษัทสีเขียว

การดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ ทั้งต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นส่วนหนึ่งของ DNA

"เป้าหมาย Net Zero ของเราคือปี 2050"  คุณวีรสิทธิ์กล่าวถึงพันธกิจระยะยาว 

สำหรับศรีตรังมีโครงการสำคัญหลายโครงการเพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น โครงการศรีตรังเพื่อนชาวสวน ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรทำสวนยางอย่างยั่งยืน มีการจัดการที่ดี และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โครงการร่วมใจทำยางไทยยั่งยืน ที่มีการรณรงค์ให้เกษตรกรผลิตยางที่มีคุณภาพและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ตลอดจนการเก็บคาร์บอนเครดิตด้วย 

ต่อยอดธุรกิจสู่ Healthcare และ EV: โอกาสใหม่ของอุตสาหกรรมยางไทย

อนาคตของศรีตรังกำลังต่อยอดศักยภาพสู่สองอุตสาหกรรมที่เติบโตสูง ได้แก่ Healthcare และยานยนต์ไฟฟ้า (EV)

Healthcare: ตลาดที่เติบโตไม่หยุด

โดยคุณวีรสิทธิ์กล่าวว่า เราเห็นศักยภาพมหาศาลในตลาดอุปกรณ์การแพทย์และสุขภาพ โดยเฉพาะถุงมือยาง ซึ่งเติบโตจากปัจจัยสำคัญ 3 ประการ

  • Emerging Marketและชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา ทำให้มีชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อและให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น ความต้องการเข้าถึงบริการและอุปกรณ์ Healthcare จึงขยายตัว
  • สังคมผู้สูงอายุ ประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่งเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งต้องการการดูแลทางการแพทย์มากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการถุงมือยางและอุปกรณ์การแพทย์เพิ่มขึ้น
  • มาตรฐานด้านสุขอนามัยที่เข้มงวดขึ้น หลังวิกฤต COVID-19 การใช้ถุงมือยางไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโรงพยาบาลอีกต่อไป แต่ขยายไปสู่อุตสาหกรรมอื่น เช่น อาหาร บริการ และการผลิต

"อุตสาหกรรม Healthcare ยังมีอนาคตที่สดใสมาก ฐานลูกค้าจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และเราก็พร้อมตอบสนองตลาดนี้" คุณวีรสิทธิ์กล่าว

EV: ความท้าทายที่กลายเป็นโอกาส

ในอีกด้านหนึ่ง หลายคนกังวลว่าการมาของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะกระทบต่อความต้องการยางธรรมชาติ แต่คุณวีรสิทธิ์มองต่าง ออกไป โดยเขาอธิบายว่า "EV ก็คือรถยนต์ที่ยังต้องใช้ยางล้ออยู่ดี อาจมีการปรับสูตรให้ยางเงียบขึ้นหรือทนแรงเสียดทานมากขึ้น แต่สัดส่วนการใช้ยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ก็ยังอยู่ประมาณ 50:50 ยิ่งไปกว่านั้น EV มีน้ำหนักมากกว่ารถยนต์ทั่วไป เพราะแบตเตอรี่ จึงต้องการยางที่มีคุณภาพสูงขึ้น" ซึ่งเปิดโอกาสให้ศรีตรังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ตอบโจทย์ตลาดนี้

เตรียมพร้อมรับความท้าทายปี 2026 : AI, Geopolitics และกฎระเบียบใหม่

เมื่อถามถึงความท้าทายอันใกล้สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะต้องเผชิญในปี 2026 คุณวีรสิทธิ์กล่าวถึง 3 ประเด็นใหญ่ที่ต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือ ได้แก่ 

1. การเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI อย่างเต็มรูปแบบ

คุณวีรสิทธิ์ เน้นย้ำว่า "การเปลี่ยนผ่านเรื่องของการมี AI เข้ามา ต้องมีการเตรียมความพร้อม และทุกคนต้องมี mindset แบบ proactive ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่อยู่ที่การเปลี่ยน Mindset ของคนในองค์กร ทุกคนต้องหาทางเปลี่ยนตัวเองเพื่อรองรับการทำงานในอนาคต

ซึ่งการเตรียมพร้อมที่กลุ่มบริษัทศรีตรังกำลังดำเนินการ ได้แก่ การส่งเสริมวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สร้างการทำงาน ข้ามสายงานเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ปลูกฝังความคิดสร้างสรรค์และกล้าลองสิ่งใหม่ และฝึกให้ทุกคนใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ

2. ความผันผวนจาก Geopolitical Issues

คุณวีรสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหา Geopolitical ต่างๆ ที่ส่งผลต่อราคา commodity และค่าเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาและวิเคราะห์ อย่างใกล้ชิด ดังนั้นกลุ่มบริษัทศรีตรัง จึงต้องมีการจัดการกับความเสี่ยงนี้ด้วย ระบบบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุม การติดตามข้อมูลตลาดแบบ Real-time การวางแผนรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ตลอดจนกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงด้านราคาและอัตราแลกเปลี่ยน

3. กฎระเบียบใหม่ที่เข้มงวดขึ้น

"กฎระเบียบต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) แม้ปัจจุบันยางยังไม่ถูกรวมอยู่ แต่เราต้องมองมาตรการเหล่านี้เป็นจุด value added หรือจุดที่สามารถเจาะเข้าไปในตลาดได้ CBAM เป็นกลไกการปรับคาร์บอน ชายแดนของ EU ที่จะเริ่มบังคับใช้เต็มรูปแบบในปี 2026 แม้ยังไม่ครอบคลุมยางพารา แต่ศรีตรังมองว่านี่เป็นโอกาส

คุณวีรสิทธิ์กล่าวว่า "เราต้องเปลี่ยนมุมมองจากการมองว่าเป็นอุปสรรค มาเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน การที่เราเตรียมพร้อมก่อน ทำให้เมื่อกฎบังคับใช้ เราจะเป็นผู้ได้เปรียบ"

กลุ่มบริษัทศรีตรัง: องค์กรยางสีเขียว ผู้นำนวัตกรรมและความยั่งยืนระดับโลก

คุณวีรสิทธิ์กล่าวทิ้งท้ายถึงวิสัยทัศน์สู่อนาคตของบริษัทว่า "เราต้องการให้คนมองว่าศรีตรังเป็นบริษัทยางที่มีความ Sustainable สูง แล้วก็มีความเป็นเทคโนโลยี" กล่าวคือ มีความเป็น Sustainability Leadership บริษัทที่ comply กับ sustainability ที่ไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามกฎ แต่เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรม

พร้อมกันนี้ยังต้องเป็น Technology Pioneer ที่มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้อัปเดตตลอดเวลา การเป็นองค์กรที่ไม่หยุดนิ่ง พร้อมนำนวัตกรรมมาสร้างคุณค่า รวมถึงมองหาโอกาสในการพัฒนาอยู่เสมอ

ดังนั้น กลุ่มบริษัทศรีตรังจึงเป็นองค์กรแห่งยางสีเขียวแบบครบวงจรอย่างยั่งยืน ที่สะท้อนให้เห็นถึง ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ด้วยส่วนแบ่งตลาดและขนาดธุรกิจ ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านกลยุทธ์ 4 Green และเป้าหมาย Net Zero นวัตกรรมและเทคโนโลยี การนำ AI และ Digital Transformation และความยั่งยืนทางธุรกิจ การสร้างคุณค่าให้ทุกผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

และการปรับตัวครั้งใหญ่ของกลุ่มบริษัทศรีตรังในครั้งนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมยางพาราไทย ที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบ แต่ก้าวไปสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและความยั่งยืนระดับโลก จากธุรกิจครอบครัวในภาคใต้ สู่ผู้นำยางธรรมชาติระดับโลก  

นี่คือเรื่องราวขององค์กรขนาดใหญ่ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า การทรานส์ฟอร์มไม่ได้เป็นแค่การปรับตัวเพื่อความอยู่รอด แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญที่ทำให้บริษัทรักษาความสามารถในการแข่งขัน เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และพร้อมโอบรับทุกความเปลี่ยนแปลงในอนาคต


Author

Content Partnership

Content Partnership