Jon Omund Revhaug 25 ปีเฝ้าดู“ดิจิทัลไทย”เติบโต เบื้องหลังดีล True-dtac สู่บทบาทซีอีโอTelenor Asia

Business & Marketing

Executive Interviews

พิมพ์ชญา ภมรพล

พิมพ์ชญา ภมรพล

Tag

Jon Omund Revhaug 25 ปีเฝ้าดู“ดิจิทัลไทย”เติบโต เบื้องหลังดีล True-dtac สู่บทบาทซีอีโอTelenor Asia

Date Time: 12 ก.ค. 2568 10:01 น.

Video

Amazon ธุรกิจนี้เจ๋งยังไง ทำไมถึงเป็นหุ้นลูกรักของใครหลายคน ? | Digital Frontiers EP.48

Summary

Thairath Money พูดคุยกับ “Jon Omund Revhaug”, Head of Telenor Asia บุคคลสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังดีลควบรวมกิจการครั้งใหญ่ในประเทศไทย นักบริหารมากประสบการณ์ของ Telenor Group ที่โลดแล่นอยู่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมยาวนานกว่า 24 ปี พร้อมด้วยประสบการณ์ในภูมิภาคเอเชียกว่า 15 ปี กับ '3 ยุคเปลี่ยนผ่าน Telenor ในประเทศไทย' จากโอเปอเรเตอร์สู่ผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และเป้าหมายหลังการควบรวมดีลประวัติศาสตร์ที่เชื่อว่าจะสร้างประโยชน์มหาศาลให้ประเทศไทย

มากกว่าสามทศวรรษที่ “เทเลนอร์ เอเชีย” (Telenor Asia) กลุ่มบริษัทโทรคมนาคมผู้นำด้านการสื่อสารชั้นนำระดับโลกจากนอร์เวย์ หรือที่คนไทยคุ้นเคยในฐานะเจ้าของเดิมของ DTAC ได้กลายเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีแห่งภูมิภาคเอเชีย ตั้งแต่การผลักดันการเข้าถึง ‘โทรคมนาคมขั้นพื้นฐาน’ ไปจนถึงการสร้าง ‘โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล’ ที่เป็นรากฐานของสังคมยุคใหม่ ไม่ว่าจะในบังกลาเทศ มาเลเซีย หรือ ไทย ตลาดหลักที่ Telenor ไม่เพียงลงทุน แต่ลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างมาโดยตลอด

สำหรับปีที่ 25 ในประเทศไทย Telenor มีบทบาทโดดเด่นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงการควบรวมกิจการครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง True และ dtac ในปี 2023 ที่ได้เปลี่ยนสถานะสู่หนึ่งในผู้ถือหุ้นหลักของ True Corporation ซึ่งได้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของยุคใหม่แห่งความร่วมมือและการลงทุนด้านเทคโนโลยีระดับประเทศ

Thairath Money ครั้งนี้เราพูดคุยกับ “Jon Omund Revhaug”, Head of Telenor Asia บุคคลสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังดีลควบรวมกิจการครั้งใหญ่ของประเทศไทย นักบริหารมากประสบการณ์ของ Telenor Group ที่โลดแล่นอยู่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมยาวนานกว่า 24 ปี พร้อมด้วยประสบการณ์ในภูมิภาคเอเชียกว่า 15 ปี หัวเรือคนใหม่ที่จะมาสานต่อการเติบโตของธุรกิจเครือข่ายโทรคมนาคมระดับโลกในการ ‘เชื่อมต่อผู้คน เชื่อมต่อธุรกิจ’ ไปพร้อมกับเป้าหมายขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีสู่โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับชาติ

ตู้เติมเงิน 2G สู่ 5G '3 ยุคเปลี่ยนผ่าน Telenor ในประเทศไทย' 

“เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ได้พูดถึง Telenor และเส้นทางของเราในเอเชีย” Jon Omund Revhaug เปิดบทสนทนา พร้อมย้อนถึงจุดเริ่มต้นเมื่อปี 1995 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทเริ่มเข้าสู่ตลาดในเอเชีย โดยเริ่มจาก ‘บังกลาเทศ’ เป็นประเทศแรกก่อนขยายการให้บริการมายังประเทศไทยในปี 2000 

“เราเข้ามาในเอเชียด้วยแนวคิดชัดเจนว่า เราจะนำเทคโนโลยีการสื่อสารเคลื่อนที่มาสู่คนส่วนใหญ่ของประเทศ เราตั้งสำนักงานภูมิภาคในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2006 เพื่อดูแลการลงทุนของ Telenor ในภูมิภาค และในปัจจุบันสำนักงานใหญ่ได้ย้ายไปอยู่ที่สิงคโปร์ แต่ต้องบอกว่า เส้นทางของเราในเอเชียนั้นน่าทึ่งมาก” Jon เริ่มต้นฉายภาพถึง 3 ช่วงสำคัญของพัฒนาการในประเทศไทยให้เห็นถึงเส้นทางการเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจที่ควบคู่ไปกับการเติบโตของเทคโนโลยีที่ชัดเจน

  • ช่วงที่หนึ่ง การสร้างการเข้าถึง (Connectivity for the Mass Market) 

ช่วงแรกของการลงทุนในไทย คือ การขยายบริการโทรคมนาคมสู่ ‘ตลาดมวลชน’ ด้วยการจับมือกับพันธมิตรเพื่อให้มือถือและบริการสามารถเข้าถึงได้ในราคาถูกที่สุด ทั้งการทำงานร่วมกับพันธมิตรในการนำเข้าโทรศัพท์มือถือราคาประหยัด และสร้างระบบเติมเงินแบบหยอดเหรียญ (Top-Up Machines) ที่เข้าถึงหมู่บ้านห่างไกลทั่วประเทศไทย 

“เป้าหมายในตอนเริ่มต้น คือ การสร้างเครือข่ายที่ครอบคลุมในราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ หากจำได้เราคือรายแรกในประเทศไทยที่สร้างระบบเติมเงินอัตโนมัติเพื่อให้บริการสามารถเข้าถึงทุกคนในพื้นที่ชนบทในราคาที่ต่ำที่สุด” 

  • ช่วงที่สอง การปรับให้ทันสมัย (Modernization Phase) 

ช่วงถัดมาของการเดินทางของ Telenor ในประเทศไทย นับตั้งแต่ช่วงปี 2010 เป็นต้นมา เมื่อโลกดำเนินสู่ยุคแห่งที่ต้องปรับเปลี่ยนสู่ความทันสมัย หลายประเทศเริ่มเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีสื่อสาร จากบริการเสียงบนระบบ 2G ที่มีต้นทุนต่ำและโฟกัสการเข้าถึงพื้นฐานเป็นหลักเท่านั้นสู่เครือข่าย 3G/4G ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้งาน “ข้อมูล” (Data) และต่อเนื่องด้วยการเติบโตของสมาร์ตโฟน 

“เราตระหนักว่า เราจำเป็นต้องปรับโครงสร้างบริการทั้งหมดเพื่อรองรับโลกดิจิทัลที่กำลังมาถึง นี่คือจุดเริ่มต้นของ ‘ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง’ ซึ่งผมขอเรียกว่ายุค modernization หรือยุคแห่งการปรับเปลี่ยนสู่ความทันสมัยนั้น เราเปลี่ยนจากบริการเสียงบนระบบ 2G ที่มีต้นทุนต่ำ มาเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยยิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถรองรับบริการด้านข้อมูล (Data services)” 

ขณะนั้น Telenor ทำงานร่วมกับพันธมิตรระดับโลก ทั้ง Ericsson, Nokia และ Huawei เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของข้อมูล ทั้งในด้านเครือข่ายที่มีคุณภาพ พร้อมผลักดันให้สมาร์ตโฟนราคาถูกเป็นที่แพร่หลายเพื่อวางโครงข่ายและนำสมาร์ตโฟนราคาประหยัดเข้ามาในตลาดไทย 

  • ช่วงที่สาม ยุคแห่งความร่วมมือ (Partnership Era) 

กระทั่งสิบปีต่อมา ตั้งแต่ปี 2020 จนถึงปัจจุบัน Telenor เข้าสู่จุดที่ต้องการการลงทุนระดับมหาศาลเพื่อรองรับเทคโนโลยีแห่งอนาคต เช่น 5G , Cloud Computing และ AI ในฐานะผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่จำเป็นต่อสังคมยุคใหม่ ซึ่งนำมาสู่ยุคของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เช่น การควบรวมกิจการเพื่อขยายขนาดตลาดและเพื่อรับมือกับการลงทุนขนาดใหญ่ที่จำเป็นต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลขั้นสูง 

“เราเชื่อว่าการมีตลาดที่ใหญ่เพียงพอเป็นสิ่งที่จำเป็น จึงตัดสินใจควบรวมกิจการกับ True ในประเทศไทยและอีกหนึ่งดีลในมาเลเซีย การควบรวมกับ True ทำให้เราสร้างเครือข่ายครอบคลุมระดับประเทศ พร้อมโครงสร้างพื้นฐาน 5G ที่ทันสมัยที่สุดในไทย” 

Jon กล่าวว่า ความท้าทายในช่วงแรก คือ การขยายเครือข่ายทั่วประเทศและหาพันธมิตรจัดจำหน่ายอุปกรณ์ราคาประหยัด ส่วนช่วงที่สอง คือ การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ยังคงความคุ้มค่าสำหรับผู้บริโภค แต่ความท้าทายทั้งหมดก็เปิดโอกาสให้ Telenor ได้เป็น “ผู้เริ่มต้นก่อน” (First mover) อยู่เสมอ ตั้งแต่บริการเติมเงินแบบ Micro ไปจนถึงการเป็นรายแรกที่ผลักดันให้เกิดการควบรวมเชิงโครงสร้างที่รองรับอนาคต 

“เราถูกมองว่าบ้าตั้งแต่แรก ตอนบอกว่าจะทำโทรศัพท์ราคาถูกให้ชาวบ้านใช้ แต่นั่นคือจุดที่เราเริ่ม และความกล้าเริ่มต้นก่อนนี่แหละที่ทำให้ Telenor มาได้ไกลขนาดนี้” เขากล่าว

ดีลแห่งประวัติศาสตร์ที่เชื่อว่าจะสร้างประโยชน์มหาศาลให้ประเทศไทย 

เราชวน Jon พูดคุยต่อถึงหนึ่งในเหตุการณ์ใหญ่ของโลกธุรกิจไทยที่ไม่ใช่ในแง่มูลค่าทางธุรกิจ แต่คือ “จุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์” ที่สะท้อนการปรับตัวของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยเพื่อให้ทันกับคลื่นเทคโนโลยีลูกใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและชีวิตผู้คน

ในฐานะผู้จัดการการควบรวมก่อนเข้ารับตำแหน่งซีอีโอ Jon กล่าวว่า การควบรวมกิจการระหว่าง True กับ dtac ได้กลายเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตการทำงานของเขา และมากไปกว่านี้ที่ดีลนี้ได้กลายเป็นการควบรวมครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทย หนึ่งในตลาดที่เขาเชื่อว่ามีพลวัตการเติบโตของผู้ใช้บริการและโครงสร้างพื้นฐานที่มีศักยภาพไม่แพ้ยุโรป 

“ในฐานะผู้ดูแลการควบรวมทั้งหมดตั้งแต่ต้น นี่คือโปรเจกต์ใหญ่ที่เต็มไปด้วยรายละเอียด เรากำลังพูดถึงสององค์กรขนาดใหญ่ที่มีวัฒนธรรมองค์กร องค์ประกอบพื้นฐาน และโครงสร้างระบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เราจึงใช้เวลามากกับการทำความเข้าใจในจุดแข็งของทั้ง True และ dtac รวมถึงฐานลูกค้าของทั้งสองบริษัท” 

จากแนวคิด ‘Better Together’ ซึ่งได้กลายมาเป็นเป้าหมายหลักของการสื่อสารมาจากกุญแจสำคัญในการเลือกจุดแข็งจากทั้งสองฝั่ง นำข้อดีของทั้งสองบริษัทมารวมกันเพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีขึ้น

"หากแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงแรก คือ การควบรวมด้านเทคนิคและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก เราได้เครือข่ายระดับประเทศที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น ทั้ง 4G, 5G และ 2G ที่เสถียร ส่วนช่วงถัดมา คือ การหลอมรวมประสบการณ์ของลูกค้าให้เป็นหนึ่งเดียว ทั้งในเชิงระบบ IT และช่องทางบริการ ไม่ว่าจะเป็นบริการหน้าร้าน ช่องทางดิจิทัล และคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งยอมรับว่ายังเป็นสิ่งที่ท้าทายและใช้เวลา"

โดยเขาเน้นย้ำว่าเป้าหมายหลักหลังควบรวมอันดับแรก คือ การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน 5G ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ส่วนระยะยาว คือ การให้บริการที่ตอบโจทย์คนทุกกลุ่ม ไม่ใช่แค่เรื่องราคา แต่รวมถึงทำให้แน่ใจว่าผู้บริโภคจะได้รับบริการเฉพาะทางที่ตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น ได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นและไร้รอยต่อมากที่สุด 

อย่างไรก็ตามเมื่อถามในประเด็นเรื่อง ‘ค่าบริการอินเทอร์เน็ต’ หลังการเปลี่ยนแปลงจำนวนของผู้ให้บริการที่เหลือเพียงสองรายใหญ่ในตลาด ซึ่งผู้บริโภคจำนวนหนึ่งยังมองว่าน่าจะถูกลงได้ ตลอดจนความหวังที่ว่า ‘อินเทอร์เน็ต’ ในไทยจะไปถึงจุดที่เป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของประชาชนได้หรือไม่ Jon กล่าวเพียงว่า "อุตสาหกรรมนี้ต้องลงทุนสูงมาก ตั้งแต่ซื้อคลื่นความถี่ไปจนถึงติดตั้งอุปกรณ์ จึงต้องมีโมเดลทางธุรกิจที่ยั่งยืน โดยตนเชื่อว่าการแข่งขันเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนนวัตกรรม ซึ่งนั่นนำเป้าหมายสูงสุด นั่นคือ การนำเสนอเทคโนโลยีและบริการที่ปลอดภัยในราคาที่เข้าถึงได้ด้วยตัวเลือกที่หลากหลาย"

การควบรวมจึงเป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่ในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนจากการแข่งขันด้วยโปรโมชั่นและจำนวนผู้ใช้ สู่การแข่งกันเรื่อง “ขีดความสามารถด้านนวัตกรรม” ที่จะเป็นกุญแจสู่การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยในระยะยาว

จากโอเปอเรเตอร์ สู่ ผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 

“ในบทบาทใหม่ที่ไม่ใช่แค่โอเปอเรเตอร์ข้ามชาติ แต่คือผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่จำเป็นต่อโลกยุคใหม่ ทุกอย่างจะเดินหน้าไปพร้อมกัน ทั้ง 5G, AI, IoT และ Data Center สิ่งเหล่านี้เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจมหาศาลให้กับประเทศไทย” 

Jon กล่าวต่อถึงโอกาสของประเทศไทยในยุคที่มี AI พร้อมใช้ว่า เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่การเติบโตของข้อมูล (Data Explosion) เกิดขึ้นพร้อมกับความต้องการด้านการประมวลผลและการจัดเก็บข้อมูลที่รวดเร็ว แต่หากเราต้องการใช้เทคโนโลยีอย่าง AI, IoT หรือบริการดิจิทัลขั้นสูงให้เกิดประโยชน์สูงสุด เราจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับข้อมูลจำนวนมหาศาล บริการความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมถึงระบบการใช้งานที่ปลอดภัยและมีเสถียรภาพ ซึ่งถือเป็นเป้าหมายการให้บริการและหลักการสำคัญของ Telenor 

“ผมรู้สึกว่าช่วงเวลานี้น่าตื่นเต้นมาก ทุกคนเพิ่งเริ่มมีโอกาสได้เข้าถึง AI  ตอนนี้ AI อยู่ในโทรศัพท์มือถือ อยู่ในกระเป๋าทุกคนแล้ว ดังนั้นเบื้องหลังบริการเหล่านั้นจำเป็นต้องมีซึ่งความสามารถด้านการประมวลผลและโครงข่ายที่แข็งแกร่ง นี่คือบทบาทของ AI ในโลกเทเลคอมยุคใหม่ ซึ่ง True และ Telenor พร้อมลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างรากฐานนี้” 

Jon ชี้ให้เห็นว่า ทั้งหมดนี้นำมาซึ่งการลงทุนมหาศาลของผู้ให้บริการโทรคมนาคม การลงทุนเหล่านี้ในอนาคตต้องอาศัยบริษัทที่มี ‘ขนาด’ และ ‘ความแข็งแกร่งทางการเงิน’ มากพอจะอยู่ในแนวหน้าของการแข่งขัน ดังนั้นเพื่อทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเกิดขึ้นจริง Jon กล่าวว่า True จำเป็นต้องมีทั้งขีดความสามารถ ทุนทรัพย์ และความเชี่ยวชาญเพื่อลงทุนเพิ่มทั้งในเทคโนโลยี AI โครงข่ายและศักยภาพการประมวลผล 

การมีตำแหน่งผู้นำในตลาดและการเชื่อมโยงกับพันธมิตรหรือบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่ง Telenor พร้อมสนับสนุนในจุดนี้เพื่อสร้างบริการที่ปลอดภัยในต้นทุนที่เข้าถึงได้ให้กับผู้ใช้  โดย Jon เปิดเผยว่าแผนต่อไป Telenor ได้ร่วมมือกับ Nvidia ผู้ให้บริการชิปประมวลผลรายใหญ่ที่สุดของโลกเพื่อพัฒนา Data Center ที่สามารถรองรับข้อมูลขนาดใหญ่และความต้องการด้าน AI ในอนาคตอีกด้วย รวมถึงบริษัทโครงข่ายโทรคมนาคมรายใหญ่ และผู้ให้บริการคอนเทนต์ระดับโลก (OTT) ที่เราทำงานด้วยมายาวนานหลายสิบปีที่พร้อมนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นพลังเสริมให้กับประเทศไทย 

ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังในยุคดิจิทัล 

“Digital Inclusion หรือการเข้าถึงบริการดิจิทัลอย่างเท่าเทียม เป็นพันธกิจสำคัญของ Telenor มาโดยตลอด แต่ความท้าทายไม่ได้อยู่แค่การขยายสัญญาณมือถือไปยังทุกพื้นที่เท่านั้น แต่รวมถึงการทำให้คนทุกกลุ่ม ‘เข้าใจ’ และ ‘ใช้ประโยชน์’ จากเทคโนโลยีได้จริง” 

Telenor มุ่งมั่นในการสนับสนุนเรื่อง Digital Inclusion อย่างจริงจังผ่านหลายมิติ ยกตัวอย่าง การขยายโครงข่ายสัญญาณในพื้นที่ชนบท การอบรมทักษะออนไลน์ และการร่วมมือกับรัฐบาลในแต่ละประเทศรวมถึงประเทศไทย เพื่อพัฒนาโปรแกรมฝึกอบรมออนไลน์สำหรับกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ คนในพื้นที่ห่างไกล หรือกลุ่มที่ไม่มีทักษะการใช้งานเทคโนโลยี ขณะเดียวกัน Telenor ยังมุ่งมั่นด้านความปลอดภัยออนไลน์ (Online Safety) ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ แคมเปญเพื่อให้ผู้ใช้งานรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ รู้จักการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว และเข้าใจว่าควรใช้ชีวิตในโลกออนไลน์อย่างไรให้ปลอดภัย เพราะการเข้าถึงที่เท่าเทียมและปลอดภัย คือ หัวใจของการพัฒนาดิจิทัลอย่างยั่งยืน  Jon กล่าว 

บทสนทนาครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนประวัติศาสตร์ของ Telenor Asia หนึ่งในบริษัทโทรคมนาคมที่ปักหลักในฐานะ “ผู้สร้างการเชื่อมต่อ” ให้กับตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียมาอย่างยาวนาน แต่ยังชี้ให้เห็นภาพอนาคตของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางดิจิทัลแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการปูทางสู่การเข้าถึงสัญญาณมือถือในอดีตสู่ยุคของการผสานเครือข่ายผ่านการควบรวมกิจการ และมาถึงวันนี้ที่ True และ Telenor กำลังลงทุนเพื่อรองรับโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI และข้อมูลจำนวนมหาศาล 

ทุกย่างก้าว คือ การออกแบบอนาคตการเชื่อมต่อในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงบริการดิจิทัลที่ทั่วถึง การสร้างความปลอดภัยในโลกออนไลน์ หรือการเตรียมความพร้อมด้าน AI ทั้งหมดนี้ คือ พันธกิจที่ Jon และทีม Telenor Asia มุ่งมั่นผลักดันเพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคอย่างยั่งยืน




ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -   


Author

พิมพ์ชญา ภมรพล

พิมพ์ชญา ภมรพล
from digital economies to the art of brand identity