คุยกับผู้บริหาร Disrupt Health Impact Fund ที่อยากสร้าง New S-Curveให้ประเทศ ผ่านนวัตกรรมการแพทย์

Business & Marketing

Executive Interviews

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

คุยกับผู้บริหาร Disrupt Health Impact Fund ที่อยากสร้าง New S-Curveให้ประเทศ ผ่านนวัตกรรมการแพทย์

Date Time: 28 ธ.ค. 2567 08:00 น.

Video

SAWAKAMI บลจ.ญี่ปุ่นบุกไทย | BrandStory Exclusive EP.26

Summary

ไทยมีระบบสาธารณสุขที่โดดเด่นและได้รับการยอมรับในระดับโลก ทั้งด้านความเชี่ยวชาญทางการแพทย์และคุณภาพการบริการ ล่าสุด Disrupt Technology Venture ได้เปิดตัวกองทุน Disrupt Health Impact Fund ร่วมกับพันธมิตรชั้นนำของไทย เพื่อลงทุนในนวัตกรรมสุขภาพและผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพของภูมิภาค ผ่านการผสานจุดแข็งด้านการแพทย์และบริการเข้ากับเทคโนโลยีระดับโลก

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เข้ามาปฏิวัติวงการสาธารณสุข ประเทศไทยมีโอกาสครั้งสำคัญที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสุขภาพของภูมิภาค ด้วยจุดแข็งด้านการแพทย์และการบริการที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

ล่าสุด ดิสรัปท์ เทคโนโลยี เวนเจอร์ หรือ Disrupt ได้ประกาศเปิดตัวกองทุน Disrupt Health Impact Fund พร้อมพันธมิตรร่วมลงทุนกลุ่มแรกจากกลุ่มธุรกิจชั้นนำของไทย ได้แก่ Digital Health Venture (DHV) ในเครือสมิติเวช, บริษัท ฐานะ แอสเสท จำกัด (THANA), สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) และมหาวิทยาลัยศรีปทุม (SPU)

Thairath Money มีพูดคุยกับทีมผู้บริหารกองทุน นำโดย กระทิง เรืองโรจน์ พูนผล และจันทนารักษ์ ถือแก้ว พร้อมด้วยณรัณภัสสร์ ฐิติพัทธกุล ผู้มีประสบการณ์บริหารกองทุน Accelerator และ Venture Capital (VC) กว่า 7 กองทุน ถึงวิสัยทัศน์ในการผสานจุดแข็งของไทยเข้ากับเทคโนโลยีระดับโลก เพื่อสร้าง New S-Curve ให้ประเทศ และทำให้การดูแลสุขภาพคุณภาพสูงเป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนเข้าถึงได้

Healthcare: อุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่แห่งอนาคต

กระทิง เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกองทุน Disrupt Health Impact Fund กองทุน 500 TukTuks และ ORZON Ventures กล่าวว่า เรื่องของสุขภาพกำลังกลายเป็นประเด็นระดับโลก (Global Health) และเป็นหนึ่งใน Macro Trend ที่สำคัญ โดยคาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกภายในปี 2043 รองจากอุตสาหกรรมพลังงาน ซึ่งถือเป็น Industry of the Future อย่างแท้จริง

กองทุนดิสรัปต์มีหลักในการวิเคราะห์ Macro Trend และภาพอนาคตเป็นอันดับแรกเสมอ และพบว่าอุตสาหกรรมสุขภาพมีปัจจัยขับเคลื่อน (Key Drivers) ที่น่าสนใจหลายประการ เราเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จาก AI และเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด ทำให้เราตัดสินใจมองเกมยาว 10-20 ปี กับธีมลงทุนด้านสุขภาพนี้ 

กระทิง เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกองทุน Disrupt Health Impact Fund กองทุน 500 TukTuks และ ORZON Ventures
กระทิง เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกองทุน Disrupt Health Impact Fund กองทุน 500 TukTuks และ ORZON Ventures

โดยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ต่อยอดมาจากการพัฒนาของ AI คือ ฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ GPU ที่มีขนาดเล็กลงจนสามารถติดตั้งในอุปกรณ์สำหรับผู้บริโภคได้ ซึ่งจะนำไปสู่การประมวลผล AI แบบ Edge Computing มากขึ้น

"เราเห็นแนวโน้มที่ชัดเจนในการพัฒนาด้าน Self-care และ Preventive care เนื่องจากโรงพยาบาลเองก็มีข้อจำกัดในการขยายพื้นที่กายภาพและต้องการลดภาระ (Burden) ในการดูแลผู้ป่วย ด้วยอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กลง ประกอบกับ AI ที่ฉลาดขึ้นจากฐานข้อมูลขนาดมหาศาล ทำให้การดูแลสุขภาพในอนาคตจะมุ่งเน้นไปที่การดูแลตนเองเชิงป้องกัน และการให้บริการแบบเฉพาะบุคคล (Personalization) มากขึ้น" กระทิง กล่าว 

"ผมมีหลักคิดง่ายๆ ในการเลือกเทคโนโลยีที่จะลงทุน นั่นคือ 'ถ้าเป็นลูกหลานหรือคนป่วยในครอบครัวของเรา เราจะให้เขาใช้เทคโนโลยีนี้หรือไม่' นี่คือมาตรฐานที่เราใช้ในการทำงานร่วมกับพันธมิตรของเรา"

ความฝันของเราคือการทำให้ Self-care เป็นสิ่งที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน (Democratized) เหมือนกับที่ทุกคนที่มีสมาร์ทโฟนควรจะสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานได้ แต่การจะไปถึงจุดนั้นต้องใช้เวลา เพราะยังมีความท้าทายหลายด้าน ทั้งเรื่องของ FDA การรับรองมาตรฐาน กฎหมาย และการพัฒนา AI แต่นั่นคือเป้าหมายที่เรามอยากทำให้สำเร็จ

ดังนั้นการผสมผสานระหว่างจุดแข็งด้านการบริการของไทยเข้ากับเทคโนโลยีระดับโลก จึงเป็นวิสัยทัศน์สำคัญในการยกระดับระบบสาธารณสุขไทยสู่อนาคต โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการทำให้การดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพเป็นสิ่งที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้

"เป้าหมายของเราชัดเจนมาก เราต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนอย่างน้อยหนึ่งล้านคน สำหรับในประเทศไทย เรามุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีที่เราลงทุนมาร่วมพัฒนากับพันธมิตรของเรา เพื่อกระจายประโยชน์และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ได้อย่างน้อยหนึ่งล้านคน"กระทิง กล่าว 

สาธารณสุขไทย น่าอิจฉาในสายตาชาวโลก 

กระทิง เล่าว่า ภาคสาธารณสุขไทย ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จนสื่อต่างประเทศต่างต้องนำไปวิเคราะห์และนำเสนอบทความเชิงลึกเกี่ยวกับระบบสาธารณสุขไทย จนทำให้หลายประเทศเกิดความสนใจและชื่นชมในระบบการดูแลสุขภาพของไทย

"ระบบสาธารณสุขไทยถือเป็นหนึ่งในระบบที่ดีที่สุดในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชี่ยวชาญของแพทย์ไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และจุดแข็งที่สำคัญของระบบสาธารณสุขไทยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงองค์ประกอบด้านการบริการ (Service Element) ที่โดดเด่น อันเป็นผลมาจากจิตวิญญาณการบริการ (Service Mind) ที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทย ซึ่งสามารถพัฒนาต่อยอดเป็น New S-Curve ที่สำคัญของประเทศได้” กระทิงกล่าว

นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีโอกาสหลายด้านในเรื่องของสุขภาพ โดยเฉพาะ Holistic Wellness ที่เราศักยภาพที่จะเป็นผู้นำด้านเวลเนสในระดับโลก โดยไม่จำกัดเพียงแค่ธุรกิจ Wellness Store แบบดั้งเดิม แต่ครอบคลุมไปถึงมิติด้านสุขภาพจิต (Mental Health) ที่กำลังเป็นประเด็นสำคัญในปัจจุบัน

"โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคหลังโควิด ที่เราเห็นผู้คนจำนวนมากประสบปัญหาด้านสุขภาพจิต ภาวะซึมเศร้า และความเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น นี่คือโอกาสสำคัญที่เราจะนำเทคโนโลยีมาช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้"

ด้านณรัณภัสสร์ ฐิติพัทธกุล หนึ่งในทีมผู้บริหารกองทุน ฯ เผยถึงชื่อเสียงของประเทศไทยในด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยสะท้อนให้เห็นจากการที่เมื่อติดต่อกับบริษัทต่างประเทศและแจ้งว่ามาจากประเทศไทย มักจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญจาก Silicon Valley ก็ให้ความสนใจและต้องการเรียนรู้จากประสบการณ์ของไทย

"ด้วยชื่อเสียงที่แข็งแกร่งในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข หากเราสามารถผนวกการลงทุนในเทคโนโลยีระดับโลกเข้ากับความเชี่ยวชาญของบุคลากรทางการแพทย์และระบบสาธารณสุขที่มีอยู่ จะสามารถผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำด้านสาธารณสุขในระดับเอเชียได้" ณรัณภัสสร์กล่าว

ปัจจุบันเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากราคาฮาร์ดแวร์ทางการแพทย์ที่เคยมีราคาสูงหลักหมื่นบาทได้ปรับตัวลดลง ประกอบกับการเข้ามาของผู้ผลิตจากจีนและการมีโรงงานผลิต (Manufacturing Facility) ที่หลากหลาย ทำให้สตาร์ทอัพสามารถขยายกำลังการผลิตได้มากขึ้น

"ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพหลายรายที่เราได้พูดคุยด้วย ไม่ได้มุ่งเน้นการขายสินค้าราคาสูง แต่ต้องการให้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเข้าถึงผู้คนให้ได้มากที่สุด พวกเขาจึงวางแผนเริ่มต้นจากตลาดที่มีกำลังซื้อก่อน แล้วค่อยๆ ปรับราคาให้สอดคล้องกับตลาดเป้าหมายมากขึ้น" 

ทุกโครงการที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องมีวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกัน มุ่งแก้ปัญหาระดับโลก (Global Problems) ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูงหรือประชากรบางประเทศ แต่สามารถขยายผลได้ในทุกระดับประชากรและทุกชนชั้น

และด้วยความพร้อมของระบบสาธารณสุขไทยในปัจจุบัน ที่แพทย์และโรงพยาบาลมีความตื่นตัวในการใช้ AI และเทคโนโลยีอย่างกว้างขวาง บุคลากรทางการแพทย์ใช้ Digital Solution เป็นประจำ และทุกโรงพยาบาลมีระบบ Digital EMR (Electronic Medical Record) ซึ่งสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่สามารถนำมาพัฒนา AI ให้ฉลาดขึ้นและสนับสนุนการทำงานของแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

"นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในวงการสาธารณสุข" ณรัณภัสสร์ กล่าว

ณรัณภัสสร์ ฐิติพัทธกุล หนึ่งในทีมผู้บริหารกองทุน  Disrupt Health Impact Fund
ณรัณภัสสร์ ฐิติพัทธกุล หนึ่งในทีมผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund

นอกจากนี้ กระทิง ยังได้ให้มุมมองถึงเรื่องของการพัฒนา Smart Hospital ที่เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการยกระดับระบบสาธารณสุข โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ผ่านการใช้เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง Agentic AI และ Multi Agent System

"เทคโนโลยี AI ในปัจจุบันได้พัฒนาไปถึงจุดที่สามารถสร้างระบบอัตโนมัติที่ซับซ้อนได้ โดยมี AI Agent หลายตัวที่ทำงานร่วมกัน แต่ละตัวมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน สามารถประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อ AI เข้าใจและประมวลผลข้อมูลได้ทุกรูปแบบ มันจะสามารถทำงานแทนมนุษย์ในงานที่ซ้ำซ้อนและใช้เวลามาก ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์มีเวลาดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น"

ขณะเดียวกันเขายังมองถึงโอกาสในสังคมสูงวัย (Aging Society) ที่ยังมีช่องว่างอีกมากในการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ 

"เป้าหมายของเราไม่ใช่เพียงแค่การทำให้คนมีอายุยืนยาวขึ้น แต่ต้องทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยในอนาคตเราสามารถพัฒนาโซลูชันทั้งในรูปแบบดิจิทัลและฮาร์ดแวร์ที่ช่วยดูแลผู้สูงอายุที่อยู่บ้านคนเดียว ตอบโจทย์ความกังวลของลูกหลานที่ต้องการติดตามดูแลพ่อแม่ผู้สูงอายุ โดยเชื่อมต่อกับระบบ Virtual Hospital ที่สามารถให้การดูแลและความช่วยเหลือได้ตลอด 24 ชั่วโมง"

โดยสรุปแล้ว สำหรับ Disrupt Health Impact Fund  ได้วางกรอบธีมการลงทุนหลักในด้านสุขภาพไว้ 5 ด้านด้วยกัน

  • Self-care: การดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง ตอบโจทย์ข้อจำกัดของโรงพยาบาลในการขยายพื้นที่ และลดภาระการดูแลผู้ป่วย
  • Prevention Care: เวชศาสตร์ป้องกันโรค มุ่งเน้นการดูแลก่อนป่วย ด้วยอุปกรณ์ขนาดเล็กและ AI ที่ฉลาดขึ้น
  • Holistic Wellness: การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นหลังยุคโควิด
  • Smart Hospital: พัฒนาระบบโรงพยาบาลอัจฉริยะด้วย Agentic AI และ Multi Agent System ที่ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์มีเวลาดูแลผู้ป่วยมากขึ้น
  • Age Well: นวัตกรรมเพื่อคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เชื่อมต่อกับ Virtual Hospital ที่ให้การดูแลตลอด 24 ชั่วโมง

Impact Fund กับดีลแรกเปลี่ยนชีวิตผู้ป่วยเบาหวาน

ณรัณภัสสร์ ฐิติพัทธกุล กล่าวถึงกลยุทธ์ของกองทุน  Disrupt Health Impact Fund ว่าเป็นการลงทุนที่เน้นการสร้างผลกระทบเชิงบวก (Impact Investment) ควบคู่ไปกับการสร้างผลตอบแทนทางการเงินที่น่าพอใจ วางแผนลงทุนในประมาณ 10-15 บริษัท ภายในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี

"หลายคนยังมองว่าการลงทุนเพื่อสร้าง Impact เป็นเพียงการบริจาคหรือการกุศลที่ไม่ได้เงินคืน หรือได้คืนเพียงเท่าทุน แต่เราต้องการแสดงให้เห็นว่าสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชีวิตผู้คนไปพร้อมๆ กับการสร้างผลตอบแทนในระดับ Market Return ได้ เพื่อดึงดูดให้กลุ่มผู้มีเงินทุนหันมาปลดล็อกเงินส่วนหนึ่งมาลงทุนเพื่อสร้าง Impact ร่วมกัน"

จันทนารักษ์ ถือแก้ว กรรมการผู้จัดการ Disrupt Technology Venture และผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund เล่าว่า หลังเปิดตัวกองทุน Disrupt Health Impact Fund เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ล่าสุดปิดดีลลงทุนรายแรก คือ บริษัท DiaMonTech สตาร์ทอัพ DeepTech สัญชาติเยอรมัน ผู้คิดค้นและเป็นเจ้าของหลายสิทธิบัตรนวัตกรรมการตรวจวัดระดับกลูโคสในร่างกายโดยไม่ต้องเจาะเลือด เพียงวางนิ้วมือบนเครื่อง 30 วินาทีก็สามารถวัดค่าได้ ทำให้วัดได้บ่อยและสะดวก เหมาะกับกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานกว่า 530 ล้านรายทั่วโลก เพราะเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ใช้เวลานานในการรักษาและอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ โดยประเทศไทยมีผู้เป็นเบาหวานถึง 5.2 ล้านคน หรือ 1 ใน 11 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 

จันทนารักษ์ ถือแก้ว กรรมการผู้จัดการ Disrupt Technology Venture และผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund
จันทนารักษ์ ถือแก้ว กรรมการผู้จัดการ Disrupt Technology Venture และผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund

ณรัณภัสสร์ กล่าวเสริมต่อว่า การที่เราเข้าไปลงทุนในสตาร์ทอัพต่างประเทศ เป็นเสมือนการเปิดประตูให้พวกเขาสนใจตลาดประเทศไทย ยกตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีการวัดระดับน้ำตาลในเลือดโดยไม่ต้องเจาะเลือด หากไม่มีเราเข้าไปลงทุน บริษัทเหล่านี้อาจไม่ได้มีประเทศไทยอยู่ในแผนธุรกิจเลยในหลายปีข้างหน้า การที่เราเข้าไปถือหุ้นจึงเป็นการเชื้อเชิญให้พวกเขามาทำตลาดในประเทศไทย ช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีระดับโลกได้เร็วขึ้น

นอกเหนือจากการลงทุน จริงๆแล้วกองทุนยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยสตาร์ทอัพวางกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาด (Go-to-Market Strategy) ปรับแต่งโซลูชันให้เหมาะสมกับตลาดท้องถิ่น (Localization) ตลอดจนเชื่อมต่อกับพันธมิตรในระบบนิเวศด้านสุขภาพของไทย

"เราเปิดกว้างสำหรับการลงทุนทั่วโลก แต่ในด้านเฮลท์แคร์ เราไม่ประนีประนอมด้านคุณภาพ เราลงทุนเฉพาะในตัวที่ดีที่สุดเท่านั้น เพราะระบบสาธารณสุขของไทยอยู่ในระดับโลกและภูมิภาค ดังนั้นเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ก็ต้องได้มาตรฐานระดับสากลเช่นกัน"

ลงทุนเพื่อหนุน ไทยสู่ศูนย์กลางด้านสุขภาพระดับโลก

กระทิง เผยถึงวิสัยทัศน์ในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพระดับโลก โดยระบุว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่โดดเด่นใน 2 อุตสาหกรรมหลัก คือ การท่องเที่ยวและการดูแลสุขภาพ

"เราต้องต่อยอดอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ส่งเสริมการพำนักระยะยาว (Long Stay) ผ่านการผสมผสานระหว่างการทำงาน การใช้ชีวิต และการดูแลสุขภาพ (Work, Live and Wellness) รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism)"

 ท้ายที่สุดเราวางเป้าหมายถึงบทบาทของกองทุนไว้ 3 ประการ

1. การเป็นผู้นำระดับภูมิภาค ในภูมิภาคนี้ เรามีคู่แข่งไม่มาก และเราอยู่ใกล้จุดที่จะเป็น Best in Class ในด้านบริการสุขภาพ เมื่อผู้ป่วยมาประเทศไทย พวกเขาจะได้รับการดูแลระดับ World Class ภายใต้ระบบนิเวศที่ครบวงจร

2. Democratization ของการดูแลสุขภาพ มุ่งมั่นที่จะทำให้การดูแลสุขภาพคุณภาพสูงเข้าถึงได้สำหรับคนทุกกลุ่ม

3. การเป็น Global Investor ด้าน Healthcare เราต้องการต่อยอดจากแบรนด์และฐานที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ด้วย Personal Passion และความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยสามารถแข่งขันได้จริงในระดับโลก 

“เราจึงมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบนิเวศด้านสุขภาพที่แข็งแกร่ง ดึงดูดเทคโนโลยีระดับโลกมาสู่ประเทศไทย และพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพให้เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ” กระทิง กล่าวทิ้งท้าย 


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ