เปิดอาณาจักรพลังงาน “ราชกรุ๊ป” รุกแดนจิงโจ้โชว์ศักยภาพธุรกิจไทย

Business & Marketing

Corporates & Leadership

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เปิดอาณาจักรพลังงาน “ราชกรุ๊ป” รุกแดนจิงโจ้โชว์ศักยภาพธุรกิจไทย

Date Time: 13 ต.ค. 2568 04:03 น.

Summary

การเปิดแนวรุกของ “ราช ออสเตรเลีย” ที่กำลังเดินหน้าขยายการลงทุนเพิ่มอีก 9 โครงการในออสเตรเลีย และใช้โอกาสนี้ ประกาศกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจของราช กรุ๊ป ช่วง 5 ปีสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

Latest

"ไม่มีอะไรง่าย" ภารกิจของ "ดนันท์ สุภัทรพันธ์" ขับเคลื่อน "ไปรษณีย์ไทย" ในสมรภูมิส่งเดือด

หากมองทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงที่เหลือของปี 2568 และมองต่อเนื่องไปถึงทั้งปีของปี 2569 แนวโน้มในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังโตในระดับต่ำต่อเนื่อง การผลิตใช้จ่ายในประเทศ การท่องเที่ยวชะลอตัวลง ซึ่งกระทบต่อเนื่องไปถึงโอกาสในการเพิ่มการลงทุน และขยายตัวของภาคธุรกิจ

เมื่อตลาดในประเทศบีบตัวและเติบโตช้า ส่วนแบ่งทางการตลาดจำกัดและผูกอยู่กับบริษัทขนาดใหญ่ บริษัทไทยที่มีศักยภาพมากเพียงพอ จึงเลือกออกไปเติบโตและขยายธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งบริษัทที่ประสบความสำเร็จสวยงามเมื่อข้ามพรมแดนออกไป แต่ก็มีบางรายเช่นกันที่วันนี้อาจจะยังไม่ใช่วันของเรา

บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) “RATCH” หรือที่รู้จักในชื่อบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีเดิม บริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชนชั้นนำ ที่วันนี้ได้ขอต่อยอดไปทำธุรกิจด้านพลังงาน และระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ก็เป็นอีกหนึ่งในบริษัทไทยที่ก้าวออกไปหาโอกาสสร้างรายได้จากต่างประเทศ รวมทั้งประกาศศักดาธุรกิจพลังงานไทยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

โดยฐานการลงทุนของ “ราช กรุ๊ป” ณ ปัจจุบันนี้ นอกเหนือจากการลงทุน และทำธุรกิจในไทย ซึ่งมีสัดส่วนสูงที่สุด 50.62% แล้ว “ราช กรุ๊ป” ยังมีฐานการลงทุน ทั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก และพลังงานทดแทนในอีก 6 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย สปป.ลาว เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น และมีแผนจะขยายการลงทุนไปยังประเทศในกลุ่มยุโรปในอนาคต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำเร็จในประเทศออสเตรเลียของบริษัท ราช ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (RAC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย และแกนหลักในการขยายธุรกิจและสร้างรายได้ให้กับบริษัทแม่ ที่ได้รับการยอมรับในฐานะบริษัทต่างประเทศที่เป็นที่รู้จักของคนออสเตรเลีย สร้างสัดส่วนรายได้ถึง 19% ของรายได้รวมบริษัท หรือคิดเป็นตัวเงิน 2,948 ล้านบาทในครึ่งแรกของปีนี้ และคาดว่า รายได้จะเพิ่มมากขึ้น หากโครงการที่อยู่ในมือสำเร็จตามเป้าหมาย

เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา “นิทัศน์ วรพนพิพัฒน์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้นำทีมผู้บริหาร ประกอบด้วย “วดีรัตน์ เจริญคุปต์” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงิน “ธนะ บุญญสิริกูล” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารสินทรัพย์ “นวพล ดิษเสถียร” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารองค์กร และ “สหัชธรณ พุฒทอง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ราช ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ (RAC) รวมทั้งสื่อมวลชน บุกประเทศออสเตรเลีย เพื่อเรียนรู้โครงสร้างของการผลิต และซื้อขายไฟฟ้าของประเทศออสเตรเลียที่มีระบบตลาดกลางรับซื้อไฟฟ้า (Pool Price) และยังเป็นหนึ่งในประเทศลำดับต้นๆของโลกที่ใช้พลังงานทดแทนมากที่สุด

รวมทั้งการเปิดแนวรุกของ “ราช ออสเตรเลีย” ที่กำลังเดินหน้าขยายการลงทุนเพิ่มอีก 9 โครงการในออสเตรเลีย และใช้โอกาสนี้ ประกาศกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจของราช กรุ๊ป ช่วง 5 ปีสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

ปรับกลยุทธ์ 5 ปีสู่พลังงานอนาคต

“การขับเคลื่อนธุรกิจในช่วง 5 ปีจากนี้ (ปี 2568-2572) ราช กรุ๊ป จะปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้ตอบสนองทิศทางพลังงานอนาคต เพิ่มโอกาสทางธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยยังคงมุ่งเน้นธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานเป็นหลัก แต่ขยายให้ครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจมากขึ้น รวมถึงการจัดการสินทรัพย์ และปรับปรุงภาพโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ให้สร้างมูลค่าสูงสุด” นิทัศน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ราช กรุ๊ป เล่าให้ฟังถึงทิศทางข้างหน้า

โดยจะดำเนินการภายใต้กลยุทธ์หลัก 5 S ประกอบด้วย S1 การบริหารพอร์ตสินทรัพย์ โดยจะเน้นการปรับปรุงศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำกำไรของสินทรัพย์เดิม รวมถึงการพิจารณาหาโอกาสใหม่สำหรับโรงไฟฟ้าที่หมดอายุ (Repowering) S2 การลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าตามแผนกำลังผลิตไฟฟ้าของแต่ละประเทศ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงการควบรวมกิจการและการซื้อหุ้น (M&A) ในโครงการที่น่าสนใจ

S3 การลงทุนธุรกิจเกี่ยวเนื่องด้านพลังงาน S4 พัฒนาโรงไฟฟ้าที่หมดอายุให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และ S5 ลงทุนรูปแบบ Corporate Venture Capital (CVC) ในธุรกิจสตาร์ตอัพด้านพลังงานรูปแบบใหม่ และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง โดยเน้นสตาร์ตอัพ Series B ขึ้นไป ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 500 ล้านบาท คาดว่าจะเห็นการลงทุนในปี 2569

ตั้งเป้าหมายปรับเปลี่ยนจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีกำลังการผลิต 72.5% ของการผลิตรวม ในขณะนี้ลดลงเหลือ 60% ในปี 2578 และเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน (Renewable Energy : RE) จาก 27.5% ในขณะนี้เป็น 40% ในปี 2578 นอกเหนือจากพลังงานลมและโซลาร์ที่ดำเนินการอยู่แล้ว

“เราจะรุกไปสู่นวัตกรรมพลังงานที่สนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยเฉพาะเชื้อเพลิงอนาคต เช่น ไบโอดีเซล โครงการเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) ซึ่งกำลังพิจารณาและคุยกับพันธมิตรว่า เชื้อเพลิงทางเลือกที่จะนำมาใช้ควรเป็นชนิดใด การลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) โครงการกรีนไฮโดรเจน และกรีนแอมโมเนียในต่างประเทศ”

ขยายฐานลงทุนเติบโตข้ามพรมแดน

สำหรับรายได้จากการขายไฟฟ้าในช่วงครึ่งปีแรก ยังคงมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในสัดส่วน 84% เนื่องจากโรงไฟฟ้าฟอสซิลสามารถเดินเครื่องได้ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะที่พลังงานหมุนเวียนมีข้อจำกัดตามช่วงเวลาที่ผลิตได้ ทำให้รายได้จากการขายไฟอยู่ที่ 16% แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ตามสัดส่วนของโครงการพลังงานทดแทนที่จะเพิ่มขึ้น

ขณะที่หากเทียบสัดส่วนรายได้จากการลงทุนในไทย และต่างประเทศ สัดส่วนรายได้ในประเทศไทยยังคงเป็นรายได้หลักที่ 68% ของรายได้รวม ขณะที่รายได้ที่มาจากการลงทุนในต่างประเทศอยู่ที่สัดส่วน 32% อย่างไรก็ตาม หากเป็นไปตามเป้าหมายของการลงทุนในต่างประเทศต่อเนื่อง เมื่อโครงการในต่างประเทศเริ่มเปิดดำเนินการ คาดว่าใน 3 ปีข้างหน้าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะแซงหน้ารายได้จากในประเทศ หรือมากกว่า 50% ของรายได้รวม

ทั้งนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจในออสเตรเลียและอินโดนีเซียที่มีฐานธุรกิจอยู่แล้ว รวมทั้งโครงการใหม่ในลาว เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และยังตั้งเป้าหมายแสวงหาโอกาสการลงทุนในพื้นที่ใหม่ๆที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงาน อาทิ ประเทศในยุโรปตะวันตกและญี่ปุ่น

ในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาการทำ M&A มากกว่า 5 โครงการ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ เนื่องจากงบลงทุนที่ตั้งไว้ 15,000 ล้านบาท ยังเหลืออยู่ ขณะที่ในปี 2569 เราตั้งงบลงทุนที่ 15,000 ล้านบาทเช่นกัน โดยเน้นลงทุนโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในรูปโครงการ Green Field และทำ M&A เพิ่มเติม ส่วนการไปร่วมลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซฯในสหรัฐฯนั้น ยังไม่ได้ตัดสินใจ เพราะจะต้องพิจารณาความคุ้มทุนก่อน

ขณะที่การลงทุนในประเทศไทย “เราพร้อม และอยากลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม นอกจากนั้น ยังสนใจที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น อุตสาหกรรม 5.0 หรืออาจจะเลยไปที่ 6.0 โดยใช้ที่ดินโรงไฟฟ้าราชบุรีที่กำลังจะหมดอายุ รวมทั้งมองไปถึงโครงการสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดตรง (Direct PPA) ที่รัฐเตรียมประกาศการขาย Direct PPA ภายในปลายปี 2568 เพื่อรองรับ Data Center ที่มีการลงทุนในไทยด้วย” นายนิทัศน์กล่าว

ปักหมุดโกยรายได้ “ดอลลาร์ออสเตรเลีย”

ส่วนความรู้ที่ได้จากการเดินทางไปออสเตรเลียในครั้งนี้ ออสเตรเลียถือเป็นตลาดไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่สำคัญของโลก และมีเป้าหมาย Net Zero Emissions ที่ชัดเจน ทำให้เห็นโอกาสการลงทุนในโครงการพลังงานทดแทน และระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่ง RAC ถือเป็นหนึ่งในบริษัทข้ามชาติชั้นนำของออสเตรเลียที่ตอบโจทย์ดังกล่าวได้

โดยปัจจุบัน RAC บริหารจัดการสินทรัพย์ในออสเตรเลีย โดยมีโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 3 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 9 แห่ง กำลังการผลิตรวม 2,095 เมกะวัตต์ ซึ่งรวมถึงโครงการระบบกักเก็บพลังงาน

ครั้งนี้คณะได้มีโอกาสไปดูงานที่โรงไฟฟ้าพลังงานลมคอลเล็กเตอร์ (Collector Wind Farm) ซึ่งพัฒนาและดำเนินโครงการโดย RAC ตั้งอยู่ในภูมิภาคเซาเทิร์นเทเบิลแลนด์ส รัฐนิวเซาท์เวลส์ มูลค่าโครงการประมาณ 360 ล้านเหรียญออสเตรเลีย มีจำนวนกังหันลม 54 ต้น กำลังการผลิต 226.8 เมกะวัตต์ สามารถจ่ายไฟให้ 80,000 ครัวเรือนต่อปี และในปัจจุบันโรงไฟฟ้าได้ขายไฟฟ้าให้กับผู้รับซื้อไฟฟ้า 3 ราย รายละ 10 ปี โดยมีสัญญาซื้อขาย (Off-takers) ครบถ้วนตามกำลังการผลิตทั้งหมด ซึ่งช่วยสนับสนุนให้รายได้และกระแสเงินสดให้มีความมั่นคงและต่อเนื่อง

และภายใต้แผนกลยุทธ์ของ RAC ที่สนับสนุนเป้าหมายด้านพลังงานทดแทน ปัจจุบัน RAC อยู่ระหว่างศึกษาเพื่อพัฒนาและก่อสร้างโครงการพลังงานทดแทนและระบบกักเก็บไฟฟ้าในออสเตรเลีย รวม 9 โครงการ ซึ่งในจำนวนนี้มี 4 โครงการที่มีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่

1. โครงการพลังงานแสงอาทิตย์มารูลัน กำลังการผลิต 150 เมกะวัตต์ ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) ขนาด 81 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 162 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำหนดจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2570 

2.โครงการระบบกักเก็บพลังงานเบรีล ขนาด 100 เมกะวัตต์ กักเก็บพลังงานได้ 200 เมกะวัตต์-ชั่วโมง

3.โครงการระบบกักเก็บพลังงานอีแอล เอริช ขนาด 250 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 500 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งแผนงานทั้งสองโครงการหลังได้รับความเห็นชอบแล้ว และคาดว่าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2572 

4.โครงการพลังงานลมสปริงแลนด์ อยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่การประเมินเบื้องต้นพบว่า ความเร็วลมเหมาะสมเป็นแหล่งพลังงานได้ และมีระบบสายส่งในพื้นที่รองรับ กำลังการผลิต 500-800 เมกะวัตต์ คาดว่าเดินเครื่องในปี 2573


คืนชีพ “โรงไฟฟ้าปลดระวาง” สร้างรายได้

ในการเดินทางครั้งนี้ เราจะได้เรียนรู้ข้อดีและข้อด้อยจากการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นพลังงานหลักของประเทศ ซึ่งหากเกิดกรณีปัญหาพลังงานหมุนเวียนไม่เพียงพอ เช่น ไม่มีแสงอาทิตย์ หรือไม่มีลม กระแสไฟฟ้าที่จ่ายเข้าระบบจะลดลงอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้เกิดปัญหาไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง หรือ blackout ต่างจากโรงไฟฟ้าฟอสซิลที่เมื่อสั่งเดินเครื่องและหยุดเครื่องจะยังมีแรงเฉื่อยเหลืออยู่ที่จะช่วยประคองความถี่ในระบบไฟฟ้าไว้ได้ระยะหนึ่ง

รัฐบาลท้องถิ่นควีนส์แลนด์ ที่เป็นผู้บริหารจัดการเพื่อดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้า จึงคัดเลือกโรงไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมาเป็น “ตัวช่วย” รักษาความถี่ในระบบเอาไว้ให้มีเวลาเพียงพอในการสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าอื่นๆเข้ามาเสริมระบบ และโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซทาวน์สวิลล์ ขนาด 234 เมกะวัตต์ ของ RAC เป็นโรงไฟฟ้าแห่งแรก และแห่งเดียวของประเทศออสเตรเลีย ที่ผ่านการคัดเลือกให้ติดตั้งระบบ Synchronous Condense เพื่อให้บริการเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าเพิ่มเติมจากการขายไฟฟ้าที่ผลิตได้โดยตรง

โดยโครงการดังกล่าวใช้เงินลงทุนในการติดตั้งประมาณ 32 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย แต่ได้รับรายได้จากรัฐบาลท้องถิ่นที่เป็นคู่สัญญาให้สแตนด์บายเดินเครื่องส่งแรงเฉื่อยเพื่อรักษาระบบปีละ 68 ล้านดอลลาร์ฯ เป็นเวลา 10 ปี

“โครงการนี้ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับโรงไฟฟ้าที่จะปลดระวางตามแผนงาน และคาดว่าความต้องการโครงการลักษณะนี้จะมีมากขึ้นตามการใช้พลังงานทดแทนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต และแม้การใช้ประโยชน์จากโรงไฟฟ้าเก่าในลักษณะนี้จะยังไม่จำเป็นในประเทศไทย แต่ก็ถือเป็นบทเรียนในการเดินหน้าสู่พลังงานสะอาดของบ้านเราที่ต้องการเร่งการเข้าสู่ Net Zero Emissions ในปี 2050 เช่นเดียวกับออสเตรเลีย” นายนิทัศน์กล่าว

และด้วยการเดินทางทั้งหมดนี้ ราช กรุ๊ป ตั้งเป้าหมายการเติบโตของกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) โดยเฉลี่ยปีละ 5% ต่อเนื่องในช่วงปี 2568-2572 แม้จะมองว่าตลาดพลังงานอยู่ในภาวะที่มีการแข่งขันสูง และคาดว่าใน 5 ปีข้างหน้าบริษัทจะมี EBITDA แตะ 30,000 ล้านบาท

ทำให้ ราช กรุ๊ป กลายเป็นหนึ่งในบริษัทไทยที่ลงทุนระดับโลกที่น่าจับตาในระยะอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้.

ทีมเศรษฐกิจ


คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปเศรษฐกิจ” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ