ภาวะ “หวาดระแวงเกินเหตุ” Paranoid Attribution โรคระบาดเงียบในออฟฟิศ มองทุกอย่างเป็นสัญญาณอันตราย

Business & Marketing

Corporates & Leadership

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ภาวะ “หวาดระแวงเกินเหตุ” Paranoid Attribution โรคระบาดเงียบในออฟฟิศ มองทุกอย่างเป็นสัญญาณอันตราย

Date Time: 20 ก.ค. 2568 10:51 น.

Video

อย่ากลัว! วิกฤติใหญ่ยังไม่เกิด หาโอกาสลงทุน กับ กวี ชูกิจเกษม | Thairath Money Night Stand EP.21

Summary

ท่ามกลางการเลย์ออฟและการถูกแทนที่ด้วย AI กลายเป็นภาวะเครียดที่กัดกินใจคนทำงานยุคใหม่ เมื่อคำพูด น้ำเสียง หรือพฤติกรรมเล็ก ๆ ถูกตีความร้ายแรงจนเกิดความหวาดระแวง รู้จัก “Paranoid Attribution” การตีความสิ่งเล็กน้อยว่าเป็นสัญญาณร้ายเพราะรู้สึกว่าไม่มั่นคงในที่ทำงาน

Latest


ในยุคที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มนุษย์ออฟฟิศจำนวนมากไม่เพียงแต่ต้องรับมือกับนโยบายองค์กรปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว หลายคนกำลังจมอยู่กับความรู้สึกหวาดระแวง ท่ามกลางกระแสการปลดคน การรุกคืบของ AI ที่โหมกระหน่ำเข้ามาพร้อมกัน ความไม่มั่นคงทางอาชีพกำลังกัดกินจิตใจคนทำงานอย่างช้า ๆ 

แม้อัตราการเลิกจ้างโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอดีต แต่ในใจของคนทำงานความเสี่ยงเหล่านี้บ่มเพาะและกัดกินใจอยู่ทุกวัน หลายคนพยายามจับสัญญาณล่วงหน้าว่าการปลดคนครั้งต่อไปกำลังมาและตัวเองจะรอดหรือไม่ จาก ‘ท่าทีแข็งกร้าวของหัวหน้า’ ‘การถูกปฏิเสธคำขอเล็ก ๆ น้อย ๆ’ หรือ ‘นัดประชุมทาวน์ฮอลล์ที่โผล่ขึ้นมาในมีตติ้งอย่างกะทันหัน’ จนความหวาดระแวงเหล่านี้เริ่มกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน 

ความรู้สึกไม่มั่นคงกำลังกัดกินคนทำงานจากภายใน โดยเฉพาะพนักงานที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่คาดเดาไม่ได้ นี่คือปรากฏการณ์ที่นักจิตวิทยาเรียกว่า "Paranoid Attribution" หรือ “ความหวาดระแวงเกินเหตุ” ที่กำลังเป็นโรคระบาดเงาในที่ทำงานสมัยใหม่ 

ความรู้สึกหวาดระแวงที่เพิ่มขึ้นในที่ทำงาน 

รายงานระบุว่า "Paranoid Attribution" คือ การตีความสิ่งเล็กน้อยว่าเป็นสัญญาณร้ายเพราะรู้สึกว่าไม่มั่นคง พฤติกรรมที่เราพยายามตีความสิ่งเล็ก ๆ ในที่ทำงานว่าเป็น “สัญญาณอันตราย” ทั้งที่บางครั้งมันอาจไม่มีอะไรเลย เช่น ทำไมวันนี้ขนมในออฟฟิศดูน้อยลง ออฟฟิศร้อนขึ้นเท่ากับบริษัทกำลังลดค่าแอร์หรือเปล่า โดยเฉพาะความรู้สึกหวั่นใจทุกครั้งที่หัวหน้าขอประชุมด่วนโดยไม่บอกเหตุผล หรือแม้กระทั่งการเข้าใช้งานระบบที่ติดขัด 

ยกตัวอย่าง พนักงานไอทีสาววัย 28 ปี คนหนึ่งที่เผชิญกับการเลิกจ้างครั้งที่สองภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี เธอกลายเป็นตัวแทนของคนทำงานยุคนี้ที่ใช้ชีวิตท่ามกลางความไม่แน่นอน โดยเฉพาะเมื่อเรื่องธรรมดาในที่ทำงานอย่างการเรียกประชุมกระทันหัน หรือคำขอแบบไม่ทันตั้งตัวจากหัวหน้า กลายเป็น "สัญญาณอันตราย" ที่อาจหมายถึง “วันสุดท้ายในที่ทำงาน” 

แม้การเลิกจ้างจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลกธุรกิจ แต่บริบทปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีและการรื้อโครงสร้างองค์กร ยิ่งทำให้คนทำงานรู้สึกหมดอำนาจควบคุม และมองเหตุการณ์รอบตัวด้วยความระแวงมากขึ้น 

AI กับความกลัวถูกแทนที่

มากไปกว่านั้น AI ที่องค์กรทั่วโลกกำลังผสานใช้ในที่ทำงานที่กลายเป็นดาบสองคม AI เข้ามาเร่งประสิทธิภาพในหลายอุตสาหกรรม แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้พนักงานจำนวนมากรู้สึกว่าความสามารถของตนอาจไม่ใช่จุดแข็งอีกต่อไป 

มิเชล วิลเลียมส์ ศาสตราจารย์ด้านการบริหารและผู้ประกอบการจากมหาวิทยาลัยไอโอวา เปรียบความรู้สึกนี้ว่าใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ที่ผู้คนเริ่มอ่านสัญญาณล่วงหน้าเพื่อเอาตัวรอด แม้บางครั้งสิ่งที่อ่านอาจไม่มีมูลเลยก็ตาม ความกลัวเช่นนี้ทำให้พนักงานเริ่มตีความเหตุการณ์ธรรมดาว่าเป็นลางร้าย เช่น เมื่อหัวหน้าเงียบหายไปหรือไม่ตอบอีเมลก็อาจถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการถูกเลย์ออฟ ทั้งที่จริงอาจไม่มีอะไรเลย 

นอกจากนี้ผลกระทบของภาวะหวาดระแวงไม่ได้อยู่แค่ในใจคนทำงาน แต่ยังแสดงออกมาในผลงานและวัฒนธรรมองค์กรที่เปลี่ยนไป คนทำงานอาจเริ่มปิดบังข้อมูลแทนที่จะร่วมมือกันอย่างเปิดเผย เพราะเชื่อว่าการเป็นผู้รู้มากกว่าคนอื่นจะทำให้ปลอดภัยกว่า นอกจากนี้หลายคนยอมทุ่มเวลานอกเวลางานเพื่อพิสูจน์คุณค่ากลายเป็นชีวิตที่ไร้สมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว ความเครียดและภาวะหมดไฟ (Burnout) จึงเกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะในองค์กรที่ยังคงยึดติดกับแนวคิด “ผลลัพธ์ต้องมาก่อนเสมอ” 

หลายองค์กรในปัจจุบันหันมาใช้แนวทางที่เน้นผลลัพธ์มากขึ้น บางแห่งรื้อระบบบริหาร ลดบทบาทของผู้จัดการระดับกลางลงจนทำให้พนักงานรู้สึกว่าไม่มีคนเป็นสะพานเชื่อมถึงผู้บริหารอีกต่อไป หรือขณะเดียวกันการทำงานแบบรีโมตหรือไฮบริดก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับองค์กรห่างเหินกว่าเดิม การพูดคุยน้อยลงอาจเปิดช่องให้ความไม่แน่ใจและความหวาดระแวงเข้าแทรกได้ง่าย 

เหล่านี้คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในหัวใจคนทำงานยุคใหม่ คำถามสำคัญ คือ แล้วเรากำลังรับมือกับยุคแห่งความหวาดระแวงนี้อย่างไร? 

วิธีรับมือกับ “Paranoid Attribution”

การแก้ไขต้องเริ่มจากทั้งสองฝ่าย รายงานระบุว่า ในระดับองค์กร ควรสื่อสารให้ชัดเจน โปร่งใส สม่ำเสมอ สร้างช่องทางให้พนักงานได้พูดคุย สอบถาม และได้รับข้อมูลอย่างทั่วถึง เพื่อลดช่องว่างแห่งความไม่รู้ ที่มักถูกแทนที่ด้วยความกลัว ในระดับบุคคล พนักงานควรวางขอบเขตการทำงาน-ชีวิตส่วนตัวให้ชัด ใช้เทคนิคดูแลใจ เช่น การฝึกสติ การออกกำลังกาย และพยายามพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อไม่ให้รู้สึกโดดเดี่ยว 

สุดท้ายคนที่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงบรรยากาศการทำงานได้มากที่สุดคือ “ผู้นำ” ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการคลายความกังวล ความเข้าอกเข้าใจ การเปิดใจฟัง โดยรายงานระบุว่า องค์กรที่ลงทุนในสุขภาวะพนักงาน เช่น สนับสนุนวันลาหยุด การทำงานยืดหยุ่น และพัฒนาทักษะในระยะยาว จะมีแนวโน้มรักษาคนเก่งไว้ได้ดีกว่าในยุคที่ความไม่แน่นอน



ที่มาข้อมูลจาก Business Insider

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -   


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ