ศาลยกคำร้องตั้ง Grant Thornton บริหารกิจการQCP ยืนยันให้“กลุ่มมหากิจศิริ”ดูแลQCPจนกว่าคดีจะสิ้นสุด

Business & Marketing

Corporates & Leadership

Content Partnership

Content Partnership

Tag

ศาลยกคำร้องตั้ง Grant Thornton บริหารกิจการQCP ยืนยันให้“กลุ่มมหากิจศิริ”ดูแลQCPจนกว่าคดีจะสิ้นสุด

Date Time: 10 ก.ค. 2568 11:12 น.
Content Partnership

Summary

  • ศาลมีคำสั่งยกคำร้องการแต่งตั้งบริษัท Grant Thornton ให้เข้ามาบริหารกิจการ พร้อมยืนยันให้กลุ่มมหากิจศิริยังคงมีสิทธิบริหาร QCP ต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลมีคำสั่งปฏิเสธคำขอของฝ่ายผู้ร้อง (เนสท์เล่) ในการแต่งตั้งบริษัท แกรนท์ ธอนตัน สเปเชียลิสท์ แอ็ดไวซอรี่ เซอร์วิสเซส จำกัด ให้เข้ามาบริหารทรัพย์สินของบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ชั่วคราว ระหว่างการพิจารณาคดีข้อพิพาทระหว่างผู้ถือหุ้นสองฝ่าย

โดยให้เหตุผลว่าบริษัท แกรนท์ ธอนตัน สเปเชียลิสท์ แอ็ดไวซอรี่ เซอร์วิสเซส จำกัด แม้มีประสบการณ์ด้านการฟื้นฟูกิจการ แต่ไม่เคยจัดการทรัพย์สินในกรณีที่ผู้ถือหุ้นมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงเช่นนี้ และยังมีข้อกังขาเรื่องความเป็นกลาง เนื่องจากได้รับการติดต่อจากฝ่ายผู้ร้องเพียงฝ่ายเดียว

ศาลเห็นว่าการแต่งตั้งผู้จัดการภายนอก ณ เวลานี้ยังไม่เหมาะสม แต่เพื่อคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นฝ่ายผู้ร้อง ศาลมีคำสั่งให้กรรมการฝ่ายผู้คัดค้านทั้งสาม จัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย บัญชีสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัทเป็นรายเดือน ส่งต่อศาลพร้อมสำเนาให้ผู้ร้อง ภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 เป็นต้นไป

ก่อนหน้านี้ ศาลแพ่งมีนบุรีมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว อนุญาตให้กรรมการฝ่ายผู้คัดค้านใช้เสียงข้างมากได้ โดยไม่ต้องเป็นไปตามข้อบังคับบริษัทที่กำหนดให้ใช้เสียง 5 จาก 7 เสียง ทำให้ฝ่ายผู้คัดค้านสามารถใช้เสียงข้างมากได้ทุกวาระ เพื่อบริหารกิจการต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีมติให้พักงานนายรามอน เมนดิวิล กิล ซึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายผู้ร้องในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ที่สั่งปิดโรงงาน ทำให้ฝ่ายผู้คัดค้านสามารถกลับมาดำเนินกิจการและตรวจสอบการใช้จ่ายของบริษัทที่ผ่านมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- ศาลจึงมีคำสั่งชัดเจนให้เปิดเผยข้อมูลการเงินและบัญชีรายเดือนต่อทั้งศาลและผู้ร้อง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับทรัพย์สินของบริษัทในระหว่างที่การพิจารณาคดียังไม่สิ้นสุด

- คำสั่งดังกล่าวจะช่วยให้ผู้คัดค้านสามารถเข้ามาดำเนินการกิจการของ QCP ผลิตกาแฟเพื่อคนไทยได้ต่อไป

ย้อนรอย เนสกาแฟ - QCP

ทั้งนี้เรื่องราวข้างต้นสืบเนื่องมาจากข้อพิพาททางธุรกิจระหว่างเนสท์เล่และบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด หรือ QCP ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเนสท์เล่และกลุ่มมหากิจศิริ ถือหุ้นร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2533 แบบ 50/50 โดยมีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 500,000,000 บาท ที่กลายเป็นประเด็นถูกพูดถึงในวงกว้างในช่วงที่ผ่านมา

โดยภายใต้สัญญานี้ เนสท์เล่มีอำนาจบริหาร ผลิตและจัดจำหน่าย รวมทั้งการทำการตลาดผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ โดยเทคโนโลยีเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่ ต่อมาในปี 2564 เนสท์เล่แจ้งยุติสัญญาการให้สิทธิผลิตกับ QCP และมีผลให้สัญญา JVA สิ้นสุดลงตั้งแต่ 31 ธ.ค. 2567 แต่หลังจากสัญญายุติ ผู้ถือหุ้นของทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงเรื่องการดำเนินงานในอนาคตของบริษัทฯ ได้ จึงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายขาดสะบั้นลง เพราะเนสท์เล่ยังไม่ทำตาม JVA ที่ต้องช่วยให้ QCP ดำเนินกิจการได้ต่อไป ภายใต้แบรนด์ของ QCP

ตามมาด้วยกรณีฟ้องร้องโดยนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ หนึ่งในผู้ถือหุ้น QCP ที่ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว และเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ศาลแพ่งมีนบุรีออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้เนสท์เล่ผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป โดยใช้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย

ปฏิเสธแต่งตั้งผู้บริหารชั่วคราว ห่วงความเป็นกลาง-ประสบการณ์เฉพาะทาง

หลังจากที่ศาลได้มีคำสั่งปฏิเสธคำขอของฝ่ายผู้ร้อง (เนสท์เล่) ที่ต้องการให้แต่งตั้งบริษัท แกรนท์ ธอนตัน สเปเชียลิสท์ แอ็ดไวซอรี่ เซอร์วิสเซส จำกัด เข้ามาบริหารทรัพย์สินของ QCP ชั่วคราว โดยให้เหตุผลที่น่าสนใจ 2 ประการ คือ

1. ขาดประสบการณ์ในกรณีข้อพิพาทรุนแรง: แม้บริษัทดังกล่าวจะมีประสบการณ์ด้านการฟื้นฟูกิจการ แต่ศาลมองว่าการจัดการทรัพย์สินในสถานการณ์ที่ผู้ถือหุ้นมีความขัดแย้งรุนแรงเช่นนี้ เป็นกรณีที่แตกต่างและต้องใช้ทักษะเฉพาะด้านที่บริษัทอาจยังไม่เคยมีประสบการณ์

2. ข้อกังขาเรื่องความเป็นกลาง: ประเด็นสำคัญคือ บริษัท แกรนท์ ธอนตัน สเปเชียลิสท์ แอ็ดไวซอรี่ เซอร์วิสเซส จำกัด ได้รับการติดต่อจากฝ่ายผู้ร้องเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความเป็นกลางของบริษัทในการเข้ามาบริหารจัดการทรัพย์สินของ QCP ศาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความเป็นกลางของผู้ที่จะเข้ามารับผิดชอบการบริหารจัดการทรัพย์สินของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่มีข้อพิพาทรุนแรง เพื่อให้มั่นใจว่าผลประโยชน์ของทุกฝ่ายจะได้รับการพิจารณาอย่างเท่าเทียม

คำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลการเงิน การคุ้มครองสิทธิผู้ถือหุ้น-ป้องกันความเสียหาย

อย่างไรก็ตาม เพื่อคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นฝ่ายผู้ร้อง ศาลได้มีคำสั่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง คือ ให้กรรมการฝ่ายผู้คัดค้านทั้งสาม จัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย บัญชีสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัทเป็นรายเดือน ส่งต่อศาลพร้อมสำเนาให้ผู้ร้อง ภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 เป็นต้นไป

คำสั่งศาลล่าสุดนี้ อาจเกิดจากความเข้าใจในบริบทของข้อพิพาทผู้ถือหุ้นที่ซับซ้อน โดยไม่ได้เข้าแทรกแซงการบริหารจัดการโดยตรงด้วยการแต่งตั้งผู้บริหารภายนอก แต่เลือกที่จะใช้มาตรการที่เน้นการเพิ่มความโปร่งใสและการตรวจสอบได้ คำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลการเงินรายเดือนเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยคุ้มครองผลประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้นฝ่ายผู้ร้องในระหว่างที่คดียังไม่ถึงที่สุด

อย่างไรก็ตาม คดียังคงดำเนินต่อไป และการปฏิบัติตามคำสั่งศาลของฝ่ายผู้คัดค้านจะเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและลดความขัดแย้งในอนาคต

#Contentpartnership


Author

Content Partnership

Content Partnership