- ท่ามกลางโรคระบาดที่มีข่าวการเสียชีวิตรายวัน หากมีโอกาส พ่อแม่ผู้ปกครองควรช่วยให้เด็กๆ เข้าใจเรื่อง ‘ชีวิต’ และ ‘ความตาย’ โดยไม่ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตระหนก เนื่องจากเด็กแต่ละวัยเริ่มมีความเข้าใจเรื่องความตายบ้างแล้ว
- หนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยได้ ก็คือ ‘วรรณกรรมเยาวชน’ ที่ไม่ได้มีเพียงเรื่องเล่าแสนสดใส เต็มไปด้วยความสุข แต่ยังมีแง่มุมที่สะท้อนชีวิตและสังคม รวมถึงความสูญเสียหรือความตาย ซึ่งการสอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับความตายไว้ในวรรณกรรมเยาวชนนั้น อาจเป็นวิธีที่นุ่มนวลในการช่วยให้เด็กๆ ทำความเข้าใจกับการสูญเสียได้
- ทั้ง ‘ชั่วนิรันดร์’ (Tuck Everlasting) วรรณกรรมเยาวชนจากอเมริกาที่ชวนให้ผู้อ่านตั้งคำถามว่า หากเลือกได้ จะเติบโตต่อไป หรือจะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ และ ‘ความสุขของกะทิ’ วรรณกรรมไทยรางวัลซีไรต์ที่ใช้ภาษาเรียบง่าย ช่วยให้เด็กๆ ทำความเข้าใจเรื่องการสูญเสียคนในครอบครัว และความหมายของการมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่น่าหดหู่ใจ
ท่ามกลางโรคระบาดที่มีข่าวการเสียชีวิตรายวัน ย่อมทำให้ผู้ที่ได้รับข่าวสารรู้สึกหดหู่สะเทือนใจ ไม่เว้นแม้แต่เด็กๆ ที่รับรู้ได้ถึงบรรยากาศแห่งความสิ้นหวังหม่นหมอง
ในช่วงเวลาเช่นนี้ หากมีโอกาส พ่อแม่ผู้ปกครองควรช่วยให้เด็กๆ เข้าใจเรื่อง ‘ชีวิต’ และ ‘ความตาย’ โดยไม่ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตระหนก ผ่านวรรณกรรมเยาวชนที่พูดถึงสองสิ่งนี้เอาไว้ได้อย่างซาบซึ้งและงดงาม
แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น เรามาดูกันก่อนว่า เด็กแต่ละวัยรู้จักและเข้าใจความตายกันอย่างไรบ้าง
เด็กแต่ละวัยเข้าใจความตายต่างกัน
...
ผู้ใหญ่ส่วนหนึ่งมักเข้าใจว่า เราไม่จำเป็นต้องพูดคุยเรื่องยากๆ กับเด็ก เพราะเมื่อถึงเวลาเด็กๆ จะเข้าใจเอง โดยเฉพาะเรื่องของความตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครๆ มักไม่อยากพูดถึง
แต่ทุกวันนี้ ความตายปรากฏให้เห็นกันแบบรายวันในช่วงโรคระบาด ที่บางคนอาจสูญเสียคนใกล้ตัว, เด็กสูญเสียพ่อแม่ หรือหลานสูญเสียปู่ย่าตายาย -- เด็กๆ เห็นภาพข่าวความตายจากสื่อรอบตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนเกิดคำถามว่า “ความตายคืออะไร?” แล้ว “พ่อแม่ของฉันจะตายด้วยหรือเปล่า?”
เด็กแต่ละวัยมีความเข้าใจเรื่องความตายแตกต่างกันไป งานวิจัยเรื่อง Children’s Concepts of Death จาก University of Cincinati สหรัฐอเมริกา พบว่า เด็กวัย 4 ปีจำนวน 58% เข้าใจว่า ความตายเป็นสิ่งที่ย้อนกลับไม่ได้ หมายความว่า เด็กๆ รู้ว่าคนที่ตายไปแล้วจะไม่ฟื้นขึ้นมา ที่น่าทึ่งคือ เด็กอายุ 3 ปีบางรายก็เริ่มเข้าใจเรื่องความตายแล้ว โดยในงานวิจัยพบว่ามีเด็กวัย 3 ปี ประมาณ 10% ที่เข้าใจเรื่องความตายเหมือนกับเด็กอายุ 4 ปี
สำหรับเด็กๆ วัย 5-7 ปีจะเริ่มเข้าใจความตายในมุมที่ลึกซึ้งขึ้น คือนอกจากเข้าใจว่าความตายไม่อาจย้อนคืนแล้ว พวกเขาก็เริ่มเข้าใจว่าร่างกายของผู้ที่ตายไปแล้วนั้น ใช้งานไม่ได้ ไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้เหมือนขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งก่อนที่จะเข้าใจในขั้นนี้ เด็กๆ อาจมีคำถามประมาณว่า คนตายแล้วมีความรู้สึกเจ็บไหม เขาหิวข้าวหรือเปล่า หรือเขานอนฝันหรือไม่
ต่อมาเด็กๆ จะเริ่มเข้าใจว่า ‘ความตายเป็นเรื่องสากล’ กล่าวคือสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกนี้ มีวันสิ้นอายุขัย แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น เด็กๆ มักเชื่อว่ามีคนบางกลุ่มที่ ‘ไม่มีวันตาย’ เช่น พ่อแม่, เพื่อนรัก และตัวเขาเอง เด็กมองความตายเป็นเรื่องไกลตัว และมักเข้าใจว่าตนเองจะไม่มีวันตายจนกว่าจะแก่
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น จึงเข้าใจว่ามนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องตายในสักวันหนึ่ง และความตายเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ เด็กโตและวัยรุ่นบางคนจึงอาจมีความกังวลเรื่องความตาย ทำให้กลัวที่จะออกไปใช้ชีวิต หรือวิตกกังวลว่าจะสูญเสียครอบครัว
ดังนั้น พ่อแม่อาจชวนลูกพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถามว่าลูกรู้สึกอย่างไร เพื่อให้ลูกได้ระบายสิ่งที่กังวลใจออกมา ไม่เก็บไปคิดเองเพียงลำพัง
ความตายในวรรณกรรมเยาวชน
ขึ้นชื่อว่า ‘วรรณกรรมเยาวชน’ คนส่วนใหญ่มักนึกถึงเรื่องราวสดใส เต็มไปด้วยความสุข แต่ด้วยหน้าที่ของวรรณกรรม คือการสะท้อนชีวิตและสังคม บางครั้งจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกล่าวถึงความสูญเสียหรือความตาย ซึ่งการสอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับความตายไว้ในวรรณกรรมเยาวชนนั้น อาจเป็นวิธีที่นุ่มนวลในการช่วยให้เด็กๆ ทำความเข้าใจกับการสูญเสียได้
อีกทั้งวรรณกรรมยังทำหน้าที่เป็น ‘บรรณาบำบัด’ (Bibliotherapy) ที่ช่วยเยียวยา, ฟื้นฟู, ปลอบประโลมจิตใจ และสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กสามารถยืนอยู่ในโลกของความจริง เข้าใจสัจธรรมชีวิตในรูปแบบที่ไม่โหดร้ายจนเกินไป
และเพราะความตายเป็นเรื่องสากล จึงมีวรรณกรรมนานาชาติจำนวนไม่น้อยที่กล่าวถึงความตายในมุมมองที่น่าสนใจ -- ในบทความนี้ เราจึงคัดเลือกวรรณกรรมเยาวชน 2 เรื่องที่แม้จะพูดถึงความตาย แต่น่าจะทำให้ผู้อ่าน โดยเฉพาะเยาวชน มองเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่มากกว่าที่เคย
...
ชั่วนิรันดร์ ไม่สำคัญเท่าวันนี้
‘ชั่วนิรันดร์’ (Tuck Everlasting) เป็นวรรณกรรมเยาวชนจากอเมริกาที่ชวนให้ผู้อ่านตั้งคำถามว่า หากเลือกได้ จะเติบโตต่อไป หรือจะมีชีวิตเป็นนิรันดร์?
หนังสือเล่าถึง วินนีย์ เด็กหญิงผู้เบื่อหน่ายความจู้จี้ของแม่ จึงหนีเข้าไปในป่าและได้พบกับครอบครัว ทัค ซึ่งมีชีวิตเป็นอมตะ และวินนีย์ก็หลงรัก เจสซี ทัค ผู้ที่มีอายุ 17 มาเป็นเวลา 70 ปีแล้ว ซึ่งเรื่องราวค่อยๆ ดำเนินไป พร้อมกับชวนให้ผู้อ่านตั้งคำถามว่า ถ้าเลือกได้ เราจะดื่มน้ำพุวิเศษ เพื่อจะได้อยู่กับคนที่เรารัก หรือจะปล่อยให้ชีวิตหมุนเวียนไปตามกาลเวลา
“หนูรู้มั้ยว่าอะไรที่แวดล้อมตัวเราอยู่ ชีวิต..ไงล่ะ..ไม่ว่าจะเป็นผืนน้ำลำธาร บึง สายลม แสงแดดที่แผดเผาเอาน้ำให้กลายเป็นไอน้ำ จนกระทั่งตกลงมาเป็นฝน สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันคือชีวิต มันหมุนวนไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด มันเป็นวิถี มันเป็นวงล้อ....เราก็เป็นหนึ่งในวงล้อต่างๆ เหล่านี้ ถ้าเราถูกลืมทิ้งไว้ นอกวงล้อนี้สิ เราจะคืออะไรในโลกใบนี้” หัวหน้าครอบครัวทัคบอกกับวินนีย์
ครอบครัวทัคเปรียบตัวเองเป็นเหมือนก้อนหินที่สงบนิ่งอยู่ท่ามกลางลำธารที่ไหลเอื่อย สายน้ำเดินทางไม่หวนกลับ ทุกอย่างดำเนินไปตามวัฏจักรของมัน แต่ก้อนหินก้อนนั้นก็ยังคงอยู่....
และเพราะชีวิตไม่ใช่ก้อนหินที่สงบนิ่งท่ามกลางสายน้ำไหลเวียนไปนี่เอง ชีวิตจึงเป็นสิ่งมีคุณค่า เพราะเราไม่รู้ว่าวันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึงเมื่อไร เราจึงต้องปฏิบัติต่อกันให้ดี แก้ไขข้อผิดพลาด บอกรักเมื่อมีโอกาส ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและระมัดระวัง
หากชีวิตเป็นอมตะได้จริง สิ่งเหล่านี้คงไม่สำคัญ เพราะเรามีเวลาชั่วนิรันดร์ที่จะทำทุกๆ อย่าง
‘ชั่วนิรันดร์’ อาจช่วยลดความกังวลใจเรื่องความตายในมุมมองของเด็กๆ และทำให้ตระหนักว่า ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่เป็นสิ่งที่ต้องมีเพื่อทำให้เราใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความหมาย คำตอบที่ดีที่สุดของชีวิต จึงไม่ใช่การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ แต่คือการทำปัจจุบันให้มีความหมายชั่วนิรันดร์ต่างหาก
...
อดีตของแม่ คือความสุขของกะทิ
อีกเรื่องคือวรรณกรรมเยาวชนของไทยที่ไม่เพียงได้รับรางวัลซีไรต์ แต่ยังถูกแปลเป็นภาษาต่างประเทศอีกหลายภาษา โดยเล่าเรื่องราวของ กะทิ เด็กหญิงวัย 9 ขวบที่เติบโตมาในบ้านริมคลองของตากับยาย กะทิคิดถึงแม่อยู่เสมอ จนกระทั่งวันหนึ่ง ตากับยายบอกว่าจะพากะทิไปหาแม่ กะทิดีใจ โดยไม่รู้มาก่อนว่าการได้พบแม่ครั้งนี้ คือการใช้เวลาช่วงสุดท้ายในชีวิตของแม่ด้วยกัน
แม่จากไปอย่างสงบและฝากให้เพื่อนของแม่ชื่อ กันต์ และลูกพี่ลูกน้องชื่อ ตอง เป็นคนพากะทิกลับไปที่คอนโดกลางกรุงเทพฯ เพื่อพบกับส่วนหนึ่งของชีวิตแม่ ...ที่นั่น ทำให้กะทิได้เข้าใจชีวิตของแม่มากขึ้น
กะทิเรียนรู้อดีตของแม่ผ่านภาพถ่าย และเรื่องเล่าจากน้ากันต์กับน้าตอง กะทิรับรู้ว่าแม่เป็นคนมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือ ทำให้แม่เป็นที่รักของทุกคน ถึงแม้ว่าแม่จะจากไปแล้ว แต่น้ำใจอันงดงามของแม่ ส่งผลมาถึงกะทิ ทำให้มีคนคอยดูแลช่วยเหลืออยู่เสมอ
‘ความสุขของกะทิ’ เป็นวรรณกรรมที่ใช้ภาษาเรียบง่าย ช่วยให้เด็กๆ ทำความเข้าใจเรื่องการสูญเสียและความหมายของการมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่น่าหดหู่ใจ เพราะถึงแม้การสูญเสียแม่จะเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่เนื้อหาในวรรณกรรมนั้นชวนให้คิดว่า สิ่งที่ทำให้ ‘คนที่จากไป’ เป็นที่น่าจดจำ ก็คือการกระทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ และสิ่งนั้นทำให้คนที่นึกถึงพวกเขามีความสุข เหมือนกับประโยคหนึ่งในหนังสือที่ว่า
...
“แม่ของกะทิ เคยให้ความช่วยเหลือหลายครั้ง โดยเฉพาะค่าเล่าเรียน แม่ดูจะทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้ อย่างน่าชื่นชม”
แน่นอนว่า เราทุกคนย่อมกลัวการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ยิ่งในช่วงโรคระบาดเช่นนี้ ความตายช่างดูน่ากลัว แต่อย่างน้อย มันก็ช่วยย้ำเตือนเราว่า การมีชีวิตอยู่นั้นมีความหมายอย่างไร
และนอกจากการชักชวนกันอ่านวรรณกรรมดังกล่าว จะช่วยให้เด็กๆ ของเราทำความเข้าใจในสัจธรรมของชีวิตได้ง่ายขึ้นแล้ว บางที เรื่องราวเหล่านี้ก็ยังอาจทำให้ผู้ใหญ่อย่างเราๆ ได้คิดทบทวนด้วยว่า เราอยากถูกผู้คนจดจำอย่างไร ...ในวันที่ต้องจากโลกนี้ไปแล้ว
อ้างอิง: National Geographic
- รพินทร ณ ถลาง, ความตาย : นัยสำคัญในวรรณกรรมสำหรับเด็ก “ใน วารสารมนุษยศาสตร์ปริทัศน์” (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2546), หน้า 57
- นาตาลี แบบบิท เขียน, สุริยฉัตร ชัยมงคล แปล, “ชั่วนิรันดร์” (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ผีเสื้อ)
- งามพรรณ เวชชาชีวะ, ความสุขของกะทิ (กรุงเทพมหานคร: แพรวสำนักพิมพ์), หน้า 106