- ทุกวันนี้ เราอาจพบเห็นเรื่องเล่าต่างๆ บนหน้าจอที่มักว่าด้วย ‘การแก้แค้น’ หรือ ‘การพิพากษาความผิด’ อยู่อย่างสม่ำเสมอ และก็ดูเหมือนว่า ซีรีส์สัญชาติเกาหลีอย่าง Taxi Driver และซีรีส์ไทยที่ ‘โก อินเตอร์’ อย่าง ‘เด็กใหม่’ (Girl from Nowhere) จะได้รับการกล่าวถึงในแง่มุมนี้ไม่น้อย
- เมื่อเส้นแบ่งระหว่างความดี-ความชั่วลางเลือน คนดูจึงอาจต้องใช้วิจารณญาณมากขึ้นในการรับชม โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองก็อาจต้องเตรียมตัวเอาไว้ หากจำเป็นต้องพูดคุยกับลูกถึงความหมายของ ‘การล้างแค้น’ และความรู้สึกสะใจเมื่อเห็นคนร้ายได้รับผลกรรม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ หรือมีทัศนคติที่ไม่เหมาะสมในการเลือกใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา
- สุดท้ายแล้ว ความรุนแรงจะนำไปสู่ความรุนแรง การแก้แค้นจะนำไปสู่การแก้แค้น และไม่ว่าเราจะเลือกทางใด ทุกทางเลือกมีผลลัพธ์ตามมาเสมอ -- นี่คือบทเรียนสำคัญที่พ่อแม่สามารถชี้ให้เด็กๆ เห็นถึงผลของการกระทำเหล่านั้นได้ โดยเฉพาะกับการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง
ทุกวันนี้ เราอาจพบเห็นเรื่องเล่าต่างๆ บนหน้าจอที่มักว่าด้วย ‘การแก้แค้น’ หรือ ‘การพิพากษาความผิด’ อยู่อย่างสม่ำเสมอ และก็ดูเหมือนว่า ซีรีส์สัญชาติเกาหลีอย่าง Taxi Driver และซีรีส์ไทยที่ ‘โก อินเตอร์’ อย่าง ‘เด็กใหม่’ (Girl from Nowhere) จะได้รับการกล่าวถึงในแง่มุมนี้ไม่น้อย ซึ่งส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเนื้อหาที่หยิบยกข่าวหรือเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในสังคมมานำเสนอ โดยการเพิ่มเติมฉากที่ช่วยสร้างความสนุกสนานเร้าใจ หรืออารมณ์ดราม่าเข้าไปด้วย
...
ก่อนจะตามมาด้วยจุดจบที่ทำให้คนดูรู้สึก ‘สะใจ’ กับการแก้แค้นเหล่านั้น
สำหรับ Taxi Driver นั้น ด้วยบทบาทของ คิมโดกี โชเฟอร์แท็กซี่ที่ไม่ได้มีหน้าที่แค่รับส่งผู้โดยสาร แต่ยังให้บริการแก้แค้น ทวงคืนความอยุติธรรม ก็ทำให้ระหว่างที่ดู ผู้ชมหลายคนต้องคอยลุ้นเอาใจช่วย ‘พระเอก’ อย่างคิมโดกี และทีมแท็กซี่สายรุ้ง โดยลืมที่จะตั้งคำถามว่า วิธีการของพวกเขาถูกต้องจริงๆ หรือ?
เช่นเดียวกับในเรื่อง ‘เด็กใหม่’ ที่ตัวละคร แนนโน๊ะ เด็กสาวผู้ทำหน้าที่ยั่วยุความชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ในมนุษย์ให้เผยตัวออกมา เพื่อรับผลกรรมที่ก่อไว้ อาจทำให้ผู้ชมหลายคนสะใจ ซึ่งแม้เรื่องราวของซีรีส์จะมีความแฟนตาซีที่ดูเหนือจริงกว่า Taxi Driver ไปหลายขุม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้งสองเรื่องตั้งอยู่บนแนวคิดเรื่องความดี-ความชั่ว, การแก้แค้นเอาคืน และกฎหมายที่ไม่อาจลบความรู้สึกไม่เป็นธรรมออกไปจากจิตใจได้ จนนำไปสู่การใช้ความรุนแรงเพื่อสะสางปมแค้นให้คลี่คลายด้วยตัวเอง
ทั้ง แนนโน๊ะ และ คิมโดกี อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘ดาร์ก ฮีโร่’ ที่ต่อสู้แบบ ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ กล่าวคือใครร้ายมา พวกเขาก็พร้อมจะร้ายกลับ ไม่ใช่ฮีโร่ใสๆ ที่ใช้ความดีชนะความชั่วเหมือนกับในเรื่องอื่นๆ ซึ่งเมื่อเส้นแบ่งระหว่างความดี-ความชั่วลางเลือน คนดูจึงอาจต้องใช้วิจารณญาณมากขึ้นในการรับชม โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองก็อาจต้องเตรียมตัวเอาไว้ หากจำเป็นต้องพูดคุยกับลูกถึงความหมายของ ‘การล้างแค้น’ และความรู้สึกสะใจเมื่อเห็นคนร้ายได้รับผลกรรม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ หรือมีทัศนคติที่ไม่เหมาะสมในการเลือกใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา
เราลองมาหาคำตอบไปพร้อมๆ กันว่า ‘ความรู้สึกสะใจเมื่อเห็นคนร้ายถูกแก้แค้น’ คืออะไรกันแน่? และการล้างแค้นคือหนทางเดียวของการต่อสู้กับความอยุติธรรมจริงหรือ? ผ่านคำพูดต่างๆ ของตัวละครจากซีรีส์ทั้งสองเรื่อง
อย่าตาย แก้แค้นสิ! - สโลแกนแท็กซี่สายรุ้ง, Taxi Driver
แม้จะไม่ได้เป็นคำพูด แต่ประโยคนี้คือหัวใจของเรื่อง Taxi Driver เพราะนี่คือสโลแกนของแท็กซี่สายรุ้ง แท็กซี่ วีไอพี ที่ไม่เพียงรับส่งผู้โดยสาร แต่ยังให้บริการล้างแค้นกับเหยื่อที่ถูกรังแกอย่างอยุติธรรมด้วย
การตั้งคำถามว่า นอกจาก ‘ตาย’ และ ‘แก้แค้น’ แล้ว มีตัวเลือกอื่นอีกไหม อาจทำให้ผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยรุ่น หรือพ่อแม่ผู้ปกครอง ได้ลองทบทวนสถานการณ์อีกครั้ง และอาจพบว่า การเลือกความตาย เปรียบเสมือนการยอมแพ้ และในทางกลับกัน การแก้แค้น คือการลุกขึ้นสู้
แต่ใช่ว่าทุกคนจะมีสองทางเลือกเท่ากัน เพราะสำหรับผู้ที่ถูกข่มเหงรังแกจากคนที่มีอำนาจมากกว่า การลุกขึ้นสู้อาจไม่ได้อยู่ในตัวเลือก ยิ่งสู้ยิ่งเจ็บ ยิ่งแข่งยิ่งแพ้ ดังนั้น เมื่อความทุกข์บังตา มองไม่เห็นทางเลือกอื่นๆ พวกเขาจึงอาจต้องเลือกความตาย
แต่ความจริงแล้ว แม้ไม่อาจแก้แค้นได้ ก็ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งนอกเหนือจากความตาย นั่นคือ ‘การมีชีวิตอยู่’
“การแก้แค้นมันไม่ได้สิ้นสุดที่การทำลายอีกคนหรอก แต่มันจะจบเมื่อเราสามารถใช้ชีวิตของเราได้ต่างหาก”
คำพูดนี้จาก ผอ.จาง ประธานแท็กซี่สายรุ้ง ที่เอ่ยกับคิมโดกี คงเป็นคำตอบให้กับคำถามข้างต้นได้เป็นอย่างดี เพราะขณะที่เราทุกข์จนมองไม่เห็นทางเลือกใดๆ ทางเลือกที่ใกล้ตัวที่สุดอย่าง “การมีชีวิตต่อไป” อาจเป็นสิ่งที่ทำได้เลยทันที แม้การมีชีวิตอยู่จะหมายถึงการต้องใช้ชีวิตอยู่กับบาดแผลทางใจตลอดไป แต่มีใครบ้างที่ไม่มีบาดแผล แม้ว่าความเจ็บปวดอาจไม่เท่ากัน แต่ทุกคนย่อมมีบาดแผลที่คนอื่นมองไม่เห็น การก้าวข้ามความคับแค้นและใช้ชีวิตต่อไป อาจเป็นหนทางเดียวที่จะเยียวยาบาดแผลและสิ้นสุดความแค้นได้
...
“เราถูกกระทำมาทั้งชีวิต พวกนั้นเป็นใครมาตัดสินเรา” - ยูริ, เด็กใหม่
บางครั้งบาดแผลจากการเป็นผู้ถูกกระทำก็ฝังลึกเกินกว่าจะก้าวข้ามได้ เหมือนกับ ยูริ ตัวละครในเรื่อง ‘เด็กใหม่’ ที่ถูกทำร้ายสาหัส จนยากจะให้อภัยใคร และเมื่อสบโอกาส เธอจึงเปลี่ยนจาก ‘เหยื่อ’ มาเป็น ‘ผู้ล่า’ โดยคนที่ทำร้ายเธอต้องถูกแก้แค้นอย่างสาสมและโหดเหี้ยม
จริงอยู่ ที่เราไม่อาจจะตัดสินการกระทำของใครได้ เราอาจ ‘รู้’ เรื่องราว แต่ไม่อาจ ‘รู้สึก’ ถึงความเจ็บช้ำแทนใคร เราจึงไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะตัดสินโทษคนคนหนึ่งได้ ในทางกลับกัน แม้ยูริจะเป็นผู้ถูกกระทำ แต่เธอสามารถใช้สิทธิ์ของผู้ถูกกระทำ ทำร้ายคนอื่นได้จริงๆ หรือ? และหากเราเป็นพ่อแม่ของยูริ เราจะสามารถเปลี่ยนความคิดของเธอได้อย่างไรบ้าง
‘การให้อภัย’ อาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ทำได้ยาก ยิ่งหากว่าบาดแผลที่ถูกกระทำกลายเป็นปมฝังลึกในจิตใจ อย่างไรก็ตาม โรเบิร์ต เอนไรต์ และ ริชาร์ด ฟิตซ์กิบบอนส์ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Forgiveness Therapy แนะนำว่า การให้อภัยไม่ได้หมายความว่าเรา ‘อ่อนแอ’ หรือ ‘ยอมแพ้’ แต่ตรงกันข้าม เรากลับต้องใช้ความเข้มแข็งและความกล้าหาญอย่างมากที่จะให้อภัยและใช้ชีวิตต่อไป โดยให้อภัยได้แม้อีกฝ่ายจะไม่เคยเอ่ยปากขอโทษ
การให้อภัยไม่ได้หมายความว่าเราต้องยอมถูกทำร้ายร่างกาย จิตใจ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และคนเราสามารถให้อภัยไปพร้อมๆ กับการต่อสู้ทางกระบวนการยุติธรรมได้
...
“มันไม่มีความเป็นธรรมอะไรทั้งนั้น!” - แม่ของจุนโกะ, เด็กใหม่
ไม่ว่าจะเป็น Taxi Driver หรือ ‘เด็กใหม่’ ก็ล้วนมีสิ่งหนึ่งที่ผู้ชมรับรู้ได้อย่างชัดเจน นั่นคือ ปัญหาในกระบวนการยุติธรรมและการใช้อำนาจของผู้ที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเหนือกว่าด้วยพละกำลัง, ตำแหน่ง, หน้าที่ หรือฐานะ จนทำให้บางครั้งการต่อสู้ด้วยกระบวนการยุติธรรม ไม่ได้ทำให้ความคับแค้นใจลดน้อยลง
ความยุติธรรมมีจริงหรือเปล่า? ยิ่งเติบโตขึ้น หลายคนก็อาจพบว่า ความยุติธรรมไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยตัวของมันเอง แต่ต้องอาศัยปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ และบางสถานการณ์ความยุติธรรมก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือจัดการกับฝ่ายตรงข้าม บ่อยครั้งผู้ที่อยู่เหนือกว่า ก็อาจมีโอกาสได้รับความยุติธรรมมากกว่า
แม้จะฟังดูน่าเศร้า แต่นี่คือความจริงของโลกใบนี้ และเพราะความยุติธรรมไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน กฎหมายไม่สามารถปกป้องเหยื่อได้อย่างเต็มที่ ผู้ชมจึงมักเกิดความรู้สึก ‘สะใจ’ ระหว่างการรับชมสื่อบันเทิงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการล้างแค้น เพราะเหมือนว่าเราได้ปลดปล่อยความรู้สึกอึดอัดคับข้องต่อความอยุติธรรมในสังคมออกมา ผ่านการล้างแค้นของตัวละครเหล่านั้น
สำหรับผู้ชมวัยเยาว์ แม้ว่าพวกเขาจะเข้าใจว่า สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก แต่เรื่องความยุติธรรมเป็นสิ่งที่ซับซ้อนกว่านั้น บ่อยครั้งเด็กๆ อาจไม่เข้าใจว่า ทำไมตัวละครที่ทำความดีจึงถูกกลั่นแกล้งร่ำไป ลองอธิบายให้ลูกเข้าใจว่าสื่อต่างๆ ล้วนสะท้อนสังคมในแง่ใดแง่หนึ่งเสมอ ในสังคมที่มีผู้คนปะปนกันทั้งชั่วและดี บางครั้งก็ไม่อาจเลี่ยงความไม่เป็นธรรมได้
และหากรู้สึกว่าได้รับความไม่เป็นธรรม เราควรทำความเข้าใจก่อนว่า ความไม่เป็นธรรมนั้นคือ ‘อารมณ์โกรธ’ เราควรหาทางจัดการกับอารมณ์โกรธนั้น และเลือกตอบสนองต่อความอยุติธรรมอย่างเหมาะสม ทางเลือกที่ถูก ย่อมนำผลลัพธ์ที่ถูกต้องมาให้ แต่หากเราเลือกทางเลือกที่ผิด ผลลัพธ์ที่ตามมาก็ย่อมผิดเช่นกัน
...
“ทุกทางเลือกมีผลลัพธ์ที่ตามมาเสมอ” - คิมโดกี, Taxi Driver
หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย คิมโดกี จึงค้นพบว่า การแก้แค้นไม่ได้นำไปสู่สังคมที่ดีขึ้น แต่กลับวนลูปนำไปสู่การถูกย้อนกลับมาแก้แค้นจากคนที่เขาเคยไล่ล่าเสียเอง
“ทำไมถึงคิดว่าการแก้แค้นของแก ถูกต้องอยู่ฝ่ายเดียวล่ะ” ประโยคที่หัวหน้าแก๊งมาเฟียเอ่ยถามคิมโดกี หลังการต่อสู้ตะลุมบอนนี้ อาจทำให้เรามองเห็นได้ชัดขึ้นว่า ขณะที่คิมโดกีทำตัวเป็นผู้ล่าเหล่าร้าย เขาก็ถูกเหล่าร้ายย้อนมาเล่นงานเสียเอง พร้อมกับถามคำถามชวนคิดว่า ทำไมการแก้แค้นของคิมโดกี จึงถูกต้องอยู่ฝ่ายเดียว
เพียงเพราะเขาแก้แค้นคนชั่วเพื่อช่วยเหยื่อจากความอยุติธรรม เขาสามารถใช้วิธีใดก็ได้อย่างนั้นหรือ?
สุดท้ายแล้ว ความรุนแรงจะนำไปสู่ความรุนแรง การแก้แค้นจะนำไปสู่การแก้แค้น และไม่ว่าเราจะเลือกทางใด ทุกทางเลือกมีผลลัพธ์ตามมาเสมอ -- นี่คือบทเรียนสำคัญที่พ่อแม่สามารถชี้ให้เด็กๆ เห็นถึงผลของการกระทำเหล่านั้นได้ โดยเฉพาะกับการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง.
อ้างอิง: Mindful.org