วาดภาพไว้ยิ่งใหญ่ว่าจะปลุกปั้น “ไอคอนสยาม” ให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของไทยริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านไป 1 ปีเต็ม ความฝันของ “ชฎาทิพ จูตระกูล” ซีอีโอหญิงแกร่งแห่งสยามพิวรรธน์ ได้กลายเป็นจริงอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เพราะไม่เพียงจะสร้างความภาคภูมิใจให้คนไทยทั้งชาติ แต่ยังสามารถพลิกเกมธุรกิจครั้งใหญ่ จนได้รับการยกย่องในระดับนานาชาติถึงความเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครในโลก!!

เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปี ของ “ไอคอนสยาม” เจ้าแม่วงการค้าปลีกวิสัยทัศน์ไกล เปิดใจให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวหน้าสตรีไทยรัฐ ถึงความสำเร็จจากการผนึกกำลังกับ MQDC แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ระดมพลังสุดยอดฝีมือคนไทยจากทุกสารทิศ เพื่อปลุกปั้น “ไอคอนสยาม” อภิมหาโปรเจกต์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ให้เป็นสัญลักษณ์ใหม่ของประเทศไทย

“เจ้าของไอคอนสยามคือคนไทยทั้งประเทศ สิ่งที่เราสร้างไม่ใช่เมือง แต่สร้างอัตลักษณ์ความเป็นไทยของคนยุคนี้ มีคนถามว่าทำ “ไอคอนสยาม” อยากได้อะไรที่สุด สมัยก่อนต้องบอกว่าอยากได้ยอดขายหมื่นล้าน อยากได้คนเดินห้างวันละหลายแสนคน แต่ครั้งนี้สิ่งที่อยากได้ที่สุดคือ อยากให้คนไทยที่เข้ามาเดินไอคอนสยามได้เรียนรู้เรื่องราวของเมืองไทยทุกมิติ และกลับออกไปด้วยหัวใจที่รักประเทศไทย รู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่เกิดเป็นคนไทย ส่วนคนต่างชาติก็อยากให้รักประเทศไทย หรือถ้ารักอยู่แล้วก็อยากให้รักมากขึ้น อยากให้ไอคอนสยามเป็นสถานที่เล่าเรื่องราวล้านเรื่องของประเทศไทยไม่รู้จบ อยากทำให้ประเทศไทยมีชื่อเสียงและสง่างามบนเวทีโลก อยากเรียกความเชื่อมั่นกลับมา หลังจากเมืองไทยผ่านความวุ่นวายหลายปี”...บอสใหญ่สยามพิวรรธน์บอกเล่าความตั้งใจ

...

ความทุ่มเทที่ลงแรงไปให้ผลลัพธ์น่าชื่นใจขนาดไหน

ถือเป็นเกียรติยศของชีวิต ที่สามารถทำโครงการไอคอนสยาม ซึ่งเป็นโครงการของบริษัทคนไทย ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดในประวัติศาสตร์ถึง 55,000 ล้านบาท และทำได้สำเร็จภายในระยะเวลาเพียง 5 ปี ท่ามกลางยุคที่ประเทศไทยต้องเผชิญปัญหา วิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ร้อนแรง และความผันผวนทางเศรษฐกิจสูงสุด ไอคอนสยามพิสูจน์ว่า เป็นโครงการที่ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจของไทยให้แข็งแกร่งขึ้น ก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 300,000 อัตรา ขณะเดียวกัน ก็สามารถดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย ผ่านการเปิดธุรกิจเป็นมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ไอคอนสยามยังสร้างความภาคภูมิใจให้คนไทย ในฐานะ Game Changer Destination ที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองกระจายไปสู่ชุมชนและธุรกิจรายล้อม โดยพัฒนาฝั่งธนบุรีให้ผงาดเป็นมหานครได้อย่างรวดเร็ว ภายในเวลาปีเดียวมูลค่าที่ดินย่านคลองสานสูงขึ้นเท่าตัวเป็น 400,000-500,000 บาท การสัญจรทางน้ำเพิ่มขึ้นวันละหมื่นคน ธุรกิจในแม่น้ำเจ้าพระยาเติบโตกว่า 20% มีสารพัดโครงการผุดขึ้นใหม่ ทั้งอสังหาฯขนาดใหญ่, โรงแรม, โครงการมิกซ์ยูส และแหล่งท่องเที่ยว

ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวไทยคึกคักขึ้น ไอคอนสยามมีส่วนมากน้อยเพียงใด

ไอคอนสยามมีส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว ในฐานะแม่เหล็กของการท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่ทรงพลัง เราเป็น Global Destination ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศไทย และทั่วโลก ไอคอนสยามยังถูกยกให้เป็นต้นแบบโครงการค้าปลีกที่บุกเบิกแนวคิดแปลกใหม่ของการพัฒนาโครงการ โดยสามารถรวบรวมทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งศิลปะ, ประเพณีท้องถิ่น, นวัตกรรม, สถาปัตยกรรมระดับโลก, ประสบการณ์เหนือระดับในการช็อปปิ้ง และเอนเตอร์เทนเมนต์

...

ช่วยยกตัวอย่างความสำเร็จที่ภาคภูมิใจหน่อยค่ะ

ภารกิจในการปลุกปั้น 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งไอคอนสยาม ประสบความสำเร็จครบถ้วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง “สุขสยาม” เป็นต้นแบบของการพัฒนา Local Heroes ศิลปิน, ช่างฝีมือ, ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชน ให้มีเวทีสำหรับค้าขายอย่างมีศักยภาพ ผ่านการส่งเสริมความรู้และการตลาด เพื่อสร้างงานสร้างรายได้ให้คนในชุมชน 77 จังหวัด ทุกครั้งที่ไปเดินสุขสยามแฮปปี้มาก เมื่อได้เห็นคุณลุงคุณป้ามีชีวิตความเป็นอยู่และรายได้ดีขึ้น แถมมีเงินทุนพัฒนาสินค้าต่อไป ทำให้ลูกหลานอยากเข้ามาสืบสานกิจการ อีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์คือ การสร้าง “ริเวอร์ พาร์ค” เนรมิตพื้นที่กว่า 10 ไร่ ให้เป็นพื้นที่สำหรับชุมชนที่สามารถใช้ประโยชน์ได้เสมือนระเบียงหน้าบ้าน มีการใช้พื้นที่จัดประเพณีไทยตลอด 12 เดือน เรายังจัดแสดงระบำสายน้ำแสงสีเสียงมัลติมีเดียที่ยาวที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งเพิ่งคว้ารางวัลชนะเลิศ Gold Stevie Award 2019 สาขา Art, Entertainment & Public-Art Event จากเวทีระดับโลก The International Business Awards 2019

...

ก้าวสู่ปีที่สองของ “ไอคอนสยาม” มีปรากฏการณ์อะไรใหม่ให้ได้ฮือฮา

เรากำลังจะเปิดศูนย์การประชุมระดับโลกแห่งแรกในประเทศคือ “ทรู ไอคอน ฮอลล์” ตั้งอยู่บนชั้น 7 สามารถรองรับผู้ชมกว่า 2,700 ที่นั่ง ฮอลล์แห่งนี้จะทำให้กรุงเทพฯกลายเป็นศูนย์กลางการประชุมนานาชาติและการแสดงระดับชั้นนำของโลก ด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชีย อีกหนึ่งความภูมิใจที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ การเนรมิต “ริเวอร์ มิวเซียม แบงค็อก” พื้นที่ศิลปะและพิพิธภัณฑ์ระดับโลกแห่งแรกในประเทศไทย โดยเปิดเฟสแรก “ไอคอนสยาม อาร์ท สเปซ” ไปเมื่อเดือนที่แล้ว เปิดโอกาสให้ศิลปินไทยทุกแขนง ตั้งแต่ศิลปินรุ่นใหม่ ศิลปินท้องถิ่น ไปจนถึงศิลปินระดับชาติ ได้มีพื้นที่จัดแสดงผลงาน ประเดิมงานแรกด้วยนิทรรศการ “นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต” ของกลุ่มบริษัทโตชิบา ประเทศไทย เร็วๆนี้จะเปิดเฟสสองคือ  “ริเวอร์ มิวเซียม ฮอลล์” สำหรับจัดแสดงผลงานระดับโลก และส่วนสุดท้ายคือ  “ริเวอร์ มิวเซียม แบงค็อก” พิพิธภัณฑ์ระดับโลกแห่งแรกในไทย ซึ่งจะเปิดให้บริการปลายปี 2563 ทั้งหมดนี้จะทำให้กรุงเทพฯกลายเป็นจุดศูนย์กลางวงการศิลปะโลกแห่งเอเชีย

...

“รถไฟฟ้าสายสีทอง” ใกล้เสร็จหรือยังคะ

กลางปีหน้าความมหัศจรรย์หนึ่งเดียวของไอคอนสยามจะกลายเป็นจริง นั่นคือ การเปิดให้บริการ  “รถไฟฟ้าสายสีทอง” เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว ผ่านถนนเจริญนคร ไปสิ้นสุดที่โรงพยาบาลตากสิน รวม 3 สถานี และในอนาคตจะเป็น Feeder Line ที่เชื่อมเข้ากับรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วง โดยไอคอนสยามเป็นต้นแบบของภาคเอกชนที่ทุ่มงบกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อสร้างรถไฟฟ้าระบบเดินรถแบบไร้คนขับ ซึ่งจะควบคุมระยะเวลาในการเดินรถได้อย่างแม่นยำและมีความปลอดภัยสูง คาดว่าเมื่อเปิดใช้รถไฟฟ้าสายสีทอง จะสามารถดึงดูดผู้มาช็อปปิ้งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เฉลี่ยวันละไม่ต่ำกว่า 250,000-300,000 คน

ไปเอาแพสชันเยอะแยะมาจากไหน ถึงสร้างปรากฏการณ์ได้ไม่รู้จบ

ความสำเร็จยิ่งใหญ่ของไอคอนสยามคงเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าขาดการรวมพลังความคิดสร้างสรรค์จากหัวใจคนไทยร้อยพันชีวิต ที่ผนึกกำลังกับผู้เชี่ยวชาญจาก 4 ทวีป รวม 15 ชาติ เพื่อร่วมกันสร้างไอคอนสยามให้เป็นสัญลักษณ์ใหม่ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น สถาปนิก, วิศวกร, มัณฑนากร, ศิลปิน, นักออกแบบ, นักธุรกิจ ตลอดจนผู้คนจากชุมชนทั่วทุกภูมิภาคของไทย ดังนั้นความสำเร็จและความดีงามของโครงการไอคอนสยามในวันนี้ แป๋มขอยกให้ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการ เพราะทุกคนคือผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริง.

ทีมข่าวหน้าสตรี