ยี่สิบปีก่อน หลังลาออกจากโรงแรมอิมพีเรียล ซึ่งไปช่วยงาน อากร ฮุนตระกูล นายเก่า ศุภลักษณ์ ตัณฑาภิชาติ ก็เปิดบริษัทคิธแอนด์ คิน รับงานด้านสื่อ-ประชาสัมพันธ์ จนได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่ได้มาตรฐาน ได้รับความเชื่อถือจากองค์กรต่างๆ ที่ต้องการสร้างความเข้าใจกับสังคม เพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อต่างๆ และเข้าใจงานข่าว เพราะ คุณศุภลักษณ์ เคยเป็นนักข่าวเดลินิวส์มาก่อน จึงคุ้นเคยสนิทสนมกับสื่อแบบพี่ๆน้องๆ บ้านนี้จึงเป็นที่พบปะของนักข่าวหลายรุ่น ซึ่งนัดกันไปคุยแลก เปลี่ยนข้อมูลเรื่องบ้าน เมืองกันเสมอ แม่ครัวและแม่บ้านนี้จึงชำนาญการจัดเลี้ยง เพราะรับแขกบ่อย

พอถึงหน้าผลไม้ นอกจากอาหารอร่อยประจำบ้าน จะมีเมนูของหวานเป็น มะม่วงอกร่อง เก็บจากต้นหน้าบ้านของ อาจารย์โอ๋-ปิยทัต เหมทัต ลูกชายศิลปินชื่อดัง ซึ่งอยู่ติดกันและเป็นต้นเดียวในย่านสุขุมวิท ที่อายุมากถึง 79 ปี มากกว่า คุณศุภลักษณ์ ที่อายุ 73 แต่ต้นนี้ก็ยังออกผลให้ได้กินทุกฤดูร้อน

...

นอกจากรสชาติดี ที่สำคัญคือ คนกินคุยได้ว่า ได้กินมะม่วงจากต้นที่แปลกมาก เพราะก่อนที่จะซื้อบ้านหลังนี้ เพื่อให้ คุณโอ๋ ทำเป็นสตูดิโอแสดง งานศิลปะ ทางเจ้าของเดิม บอกว่ามะม่วงต้นนี้ไม่เคยออกลูกเลยตลอด 67 ปี พอเปลี่ยนเจ้าของบ้านเท่านั้น มะม่วงก็ออกดอกสะพรั่ง มีลูกให้ทันที จนแตกตื่น ไปทั้งซอย และยังออกมาตลอดสิบกว่าปี ปีละ 200 ลูก ซึ่ง คุณศุภลักษณ์ จะรอให้แก่จัดคาต้น ถึงจะเก็บลงมาบ่ม

ที่แปลกกว่านั้นคือ เดิมมีคนเตรียมจะซื้อบ้านมะม่วงอกร่องหลังนี้ 20 ล้าน แต่เจ้าของบ้านเปลี่ยนใจ พอทราบว่า คุณศุภลักษณ์ สนใจจะซื้อให้ลูกชาย และยอมขายให้ 15 ล้าน จนคนที่จะซื้อ 20 ล้านมาถาม คุณศุภลักษณ์ ว่า ทำไมซื้อได้ในราคานี้ ซึ่ง คุณศุภลักษณ์ บอกไม่ทราบ แต่คิดเองว่า เพราะลูกเจ้าของบ้าน ชอบมาตีปิงปองที่บ้านทุกเย็น จึงเดาได้ว่า ถ้าไม่ขายให้ ลูกชายคงกลัวอดไปตีปิงปอง เพราะไปก็เขิน--แต่ประสา โสมชบา คิดว่า เทพารักษ์ นางไม้ อาจจะเห็นว่า คุณศุภลักษณ์ ตั้งใจรักษาต้นไม้ และทำหลังคาเปิด เพื่อให้ ต้นไม้สูง 4 เมตรอยู่อย่างเดิม จึงดลบันดาลให้มะม่วงออกลูกตอบแทน ความมีน้ำใจ และเตือนว่าอย่าได้ตัดทิ้ง เพราะจะไม่ได้กินอีก

โปรดอย่าถาม โสมชบา ว่ามะม่วงต้นนี้อยู่ที่ไหน เพราะดิฉันเกรงว่า จะมีคนแห่ไปขอลูบขอขัดถูต้นขอเลขเด็ด เดี้ยวเทพารักษ์ นางไม้ จะเดือดร้อนรำคาญย้ายหนี แล้วมะม่วงก็อาจจะไม่ออกลูกให้กินอีก.

เป็นคนที่มีแพชชั่นในการทำอะไร ต้องทำให้สุด สำหรับ คุณออม-ดิษยา สรไกรกิติกูล ผู้ปลุกปั้นและเป็นครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ แบรนด์ Boudoir by Disaya (บูดัวร์ บาย ดิษยา) ที่เริ่มต้นทำ ชุดชั้นในแฟชั่นสตรี แนวบูทีคครั้งแรก ตั้งแต่เรียนปริญญาโท ที่เซนต์มาร์ติน อังกฤษ

ผ่านไปแป๊บๆ ก็ปาเข้าไป 14 ปีแล้ว คุณออม เลยปิ๊งไอเดียค้นหาสาวๆ ยุคมิลเลนเนียล ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหลและความมั่นใจ เพื่อเป็นตัวแทนของแบรนด์ ถ่ายทอดความงามแบบฉบับของผู้หญิง จึงจัดแคมเปญ “Be Boudoir” (บี บูดัวร์) ขึ้น แต่จะให้เลือกเองคนเดียวก็ดูจะธรรมดาไป คุณออม จึงเชิญ คุณจอร์จ-ธาดา วารีช ช่างภาพที่ดึงเสน่ห์ของหญิงสาวออกมาได้ดีที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย และคร่ำหวอดในวงการถ่ายภาพกว่า 23 ปี มากดชัตเตอร์ในแคมเปญนี้ เพื่อดึงความมั่นใจของผู้หญิงจากภายใน ถ่ายทอดให้ทั้งคู่เห็นถึงคาแรกเตอร์ชัดๆ ที่จะได้ร่วมถ่ายภาพโฆษณาแคมเปญในคอลเลกชั่นถัดไป งานนี้ คุณออม และ คุณจอร์จ หนักใจมาก เพราะแต่ละคนล้วนพรีเซนต์บราลูกไม้ซีทรู ทรง Triangle ซิกเนเจอร์ของแบรนด์ ได้ดีเยี่ยม จนกรรมการทั้งคู่ต้องใช้เวลาตัดสินกันค่อนวัน.

โสมชบา