ความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองและสังคมทุกวันนี้ ย่อมเป็นผลพวงจากความดีงามของคนรุ่นก่อนๆ ที่ช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน และส่งต่อให้กับลูกหลานได้อยู่เย็นเป็นสุข คนโบราณหรือประวัติศาสตร์ จึงไม่ใช่เรื่องล้าหลัง เพราะการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ จะทำให้เรามีความเข้าใจในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างชัดเจน รู้ที่มาและที่ไป รวมทั้งได้เรียนรู้ชีวิตที่สร้างคุณค่าให้คนรุ่นหลังได้นึกถึงและจดจารึกไว้ อย่างเช่น 4 บุคคลอาวุโสที่ล้วนแต่เป็นบุคคลคุณภาพที่คนรุ่นหลังๆควรจดจำเป็นแบบอย่าง ได้แก่ ม.ล.ปฤถา สุทัศน์ ศิลปิกุล, พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา, จรรย์สมร วัธนเวคิน และ นพ.เฉก ธนะสิริ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานเกือบศตวรรษ จนได้ชื่อเป็น “บุคคลสี่แผ่นดิน”
แนวคิดการใช้ชีวิตของผู้ที่ผ่านเหตุการณ์ต่างๆมากมายในชีวิตของท่านเหล่านี้ ย่อมถูกกลั่นกรองจนตกตะกอนมาชั้นแล้วชั้นเล่า กว่าจะมาเป็นร่องรอยอันงดงามให้คนรุ่นหลังได้ก้าวเดินตาม การย้อนรอยสังคมไทยในอดีต ผ่านความทรงจำ ความประทับใจในเหตุการณ์ต่างๆ ที่ตราตรึงอยู่ในใจของท่านเหล่านี้ น่าจะเป็นบทเรียนอันมีค่าที่ส่งต่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้รากเหง้าของสังคม ความรัก ความศรัทธา ซึ่งจะเป็นการต่อยอดแนวคิดในการดำเนินชีวิตของคนรุ่นใหม่อย่างมีคุณค่า มีแก่นสาร และพร้อมจะส่งต่อความเจริญรุ่งเรืองทั้งวัตถุและปัญญาสู่รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป

...
“ม.ล.ปฤถา สุทัศน์ ศิลปิกุล” ร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลาน ในสายสกุลสุทัศน์และศิลปิกุล ที่มีอายุยืนยาวมาอย่างมีคุณภาพในวัย 96 ปี ได้ถ่ายทอดความทรงจำในชีวิตเกือบศตวรรษว่า ตนมีความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง โดยบิดา “พลโทพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (ม.ร.ว.สิทธิ์ สุทัศน์)” ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากรัชกาลที่ 5 ทรงชุบเลี้ยง เนื่องจากกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่เด็ก และยังได้รับราชการรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทในหลวงทั้งรัชกาลที่ 5 จนถึงรัชกาลที่ 8 ส่วนตนนั้น ชื่อ “ปฤถา” ก็ได้รับพระราชทานจากในหลวงรัชกาล ที่ 6 ซึ่งแปลว่า “เป็นผู้มีความเพียรอย่างยิ่ง” ซึ่งเป็นชีวิตของตนจริงๆ ต้องมีความเพียรถึงทำงานได้ พอโตขึ้นยังเคยได้เข้าไปถวายตัวเป็นข้าหลวงของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในระหว่างที่พ่อไปปฏิบัติหน้าที่เป็นพระอภิบาล ในหลวงรัชกาลที่ 8 ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ความผูกพันต่างๆนี้ ทำให้ตั้งแต่รู้ความ ได้รับการ อบรมจากผู้ใหญ่ให้เป็นคนซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อสถาบัน แต่ไม่เฉพาะตนและครอบครัวเท่านั้น สถาบันพระมหากษัตริย์ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยมาโดยตลอด

“เรื่องราวของพระมหากษัตริย์เป็นที่สนใจของคนไทยมาตลอด เหตุการณ์ที่จำได้ไม่รู้ลืม ตอนรัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคต คนทั้งประเทศเสียใจมาก ตอนนั้นยายโตแล้ว อายุ 25 ปีแล้ว พ่อเครียดมาก เพราะพ่อผูกพันอยู่กับพระเจ้าแผ่นดิน ท่านเศร้ามาก ผู้คนทั่วไปมีจิตใจเศร้าหมองมาก เพราะตอนรัชกาลที่ 8 เสด็จฯกลับเมืองไทย ทุกคนตื่นเต้น เราได้แต่ดูทางทีวี พระองค์ท่านงดงามมาก ยายเคยได้เห็นทั้ง 3 พระองค์ รัชกาลที่ 8 รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ ครั้งยังทรงพระเยาว์ที่มาเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงน่ารักงดงามทั้ง 3 พระองค์เลย พระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นที่รักของคนไทยจริงๆ ในสมัยรัชกาลที่ 8 คนไทยและคนจีนยังมีความแตกแยกกัน รัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จฯ สำเพ็ง พระองค์ท่านพยายามให้คนที่สำเพ็งที่มีความแตกแยกได้รักกัน ทุกคนได้เห็นก็ชื่นใจ หรืออย่างที่มีเหตุการณ์ฆ่าฟันกันเอง ทั้งตุลามหาวิปโยค หรือพฤษภาทมิฬ ด้วยพระบารมีที่สุดของในหลวง รัชกาลที่ 9 ก็ทำให้เหตุการณ์บ้านเมืองสงบลง เวลาพระองค์ท่านเสด็จฯต่างจังหวัด เราก็จะคอยดู คอยฟังพระราชดำรัส สิ่งที่มีพระราชดำรัส พระองค์ก็ทรงปฏิบัติตามที่มีรับสั่ง ในชีวิตยาย ได้น้อมนำพระราชกระแสรับสั่งที่ว่า “ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ให้ทำดีที่สุด” มาเป็นแนวทางในชีวิต อย่างยายซึ่งเป็นครูมาตลอดชีวิต ก็รู้สึกภูมิใจที่ได้สร้างได้สอนลูกศิษย์ และภูมิใจที่ได้มีโอกาสรับใช้สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าด้วย”

...
อีกหนึ่งปูชนียบุคคลที่ทรงคุณค่า ทั้งการใช้ชีวิตและการทำงาน “พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา” โดยชีวิตของท่านได้เดินทางมาสี่แผ่นดิน จนเข้าสู่วัย 90 ปีแล้ว แต่ยังคงแข็งแรง ซึ่งปัจจุบันยังคงทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ ได้สะท้อนภาพสังคมไทย ความผูกพันของคนไทย จากความทรงจำในชีวิตว่า ตอนเกิดได้ 5 ปี บ้านเมืองก็มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทุกคนตกใจหมด ประเทศไทยเกิดมา 600 ปี จะหมดสถาบันพระมหากษัตริย์เหรอ!? แต่ตนก็ยังเด็ก ตกใจไม่เท่าผู้ใหญ่ แต่ก็พอทราบว่า บ้านเมืองไม่มีความวุ่นวาย เพราะในหลวง รัชกาลที่ 7 ทรงยอมสละราชสมบัติและเสด็จฯลงเรือไป แต่ก่อนเสด็จฯไป ได้พระราชทานเงินและที่ดินแก่ข้าราชบริพาร ช่วงนั้นคนไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่มีการเดินขบวนเหมือนสมัยนี้ พอในช่วงรัชกาลที่ 8 ตนเริ่มโตขึ้น เมื่อพระองค์ท่านเสด็จฯกลับเมืองไทย คนไทยรู้สึกดีใจ แต่อยู่ได้ 2 ปี เกิดเหตุการณ์สวรรคต สังคมเริ่มวุ่นวาย และเศร้าโศกเสียใจ คนเริ่มสนใจ เหตุการณ์บ้านเมือง จนมาถึงรัชกาลที่ 9 เราได้เห็นพระองค์ตลอดพระชนม์ชีพ ทรงสร้างพระบารมีมากมาย จากการทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจและการทรงงานเพื่อคนไทย ชีวิตที่ผ่านมาของคนรุ่นตน ได้เห็นชีวิตในช่วงสงคราม การเปลี่ยนแปลงการปกครอง เปลี่ยนพระเจ้า แผ่นดิน ได้มองเห็นถึงคุณค่าของชีวิตคือ การทำประโยชน์ให้แก่สังคมและบ้านเมือง โดยเฉพาะการได้น้อมนำพระราชดำรัสของในหลวง รัชกาลที่ 9 มาใช้เป็นแนวทางในการทำงานสร้างชีวิตให้มีคุณค่า

...
“ความภูมิใจในชีวิตของผม คือการได้รับพระราช ทานน้ำสังข์จากในหลวง รัชกาลที่ 9 ในโอกาสอายุครบรอบ 72 ปี แม้จะไม่เคยรับราชการ แต่เป็นผู้สืบสกุลที่อาวุโสสูงสุด จึงได้ขอพระราชทาน พระราชานุญาต ซึ่งพระองค์ท่านรับสั่งว่า “ฉันไม่ขัดข้อง เขาเป็นคนดี” และเมื่อเข้าไปรับพระราชทานน้ำสังข์ ทรงมีรับสั่งว่า “เกษียณอายุยังทำอะไรได้” พร้อมกับทรงอบรมว่า “เทคโนโลยีที่ทำสำเร็จในต่างประเทศ อย่าหวังว่าจะทำสำเร็จได้หมด พระองค์ทรงเล่าถึงโครงการที่ได้ทรงทำ แล้วรับสั่งว่า “ให้คิดแม็คโคร ทำไมโคร” ผมก็ทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงสอน ทำงานให้สังคม พัฒนาตัวเองให้เป็นประโยชน์”

อีกหนึ่งบุคคลคุณภาพ “จรรย์สมร วัธนเวคิน” ผู้สูงวัยที่ยังคล่องแคล่วทำงานเพื่อสังคมในบทบาทต่างๆ ตั้งแต่สาวจนเข้าสู่วัย 90 ปี ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ที่สอนให้เธอเป็นคนอดทน เข้มแข็งใช้ปัญญาสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยเล่าว่า ชีวิตของคนจีนสมัยก่อน โดยเฉพาะผู้หญิง เราถูกบีบทั้งสภาพเศรษฐกิจ ธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรม ตนเกิดในเรือ อยู่ที่อยุธยา ชีวิตเด็กๆเฉียดตายทั้งจากการไม่มีกิน และสงคราม ทุกคนเร่ร่อน รับจ้าง ทำอะไรที่พอจะยังชีพได้ แต่ใช่ว่าจะหาได้ง่าย บ้านเมืองก็น่ากลัว ได้เห็นเขาจับเฉลยศึกมาทำโทษ ยิ่งกว่าภาพยนตร์ ช่วงนั้นมีคนบอกว่า “ใครเกิดและมีชีวิตในช่วงสงคราม สู้เป็นสุนัขในยามสงครามดีกว่า” ซึ่งคนยุคนี้ไม่รู้หรอก ตายายตนอยู่กรุงเทพฯ แต่ด้วยความที่แม่มีลูกสาว จึงกลายเป็นคนบาป ถูกให้มาอยู่ต่างจังหวัด ประเพณีเข้มงวดมาก พ่อแม่ก็ไม่อยากให้ลูกเรียนหนังสือ กลัวว่าพูดภาษาไทยได้และอยู่ได้ จะไม่กลับเมืองจีน ตนได้เข้ามากรุงเทพฯ เมื่อโตเป็นสาว ได้เข้ามาทำงานและแต่งงาน ชีวิตและสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จากชีวิตที่ถูกกดดัน ครอบด้วยประเพณี และความลำบากในวัยเยาว์ ทำให้ตนมีความคิดว่า ถึงเป็นผู้หญิงก็มีคุณค่า และเป็นประโยชน์ได้ จึงได้มาทำงานสังคมสงเคราะห์ ทั้งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลัง
...

“ชีวิตที่ผ่านมา ฉันชอบตุ๊กตาล้มลุก คือล้มแล้วลุก เป็นสิ่งที่เตือนตัวเองว่า ล้มแล้วต้องลุก แล้วต้องเก่งขึ้นเพราะเรามีประสบการณ์ สิ่งที่ภูมิใจที่สุดคือ การได้คิดแล้วคนอื่นทำสำเร็จ มันเป็นการยากที่จะให้คนอื่นทำตามที่เราคิด การได้เห็นในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงงานต่างๆมาตลอดพระชนม์ชีพ ก็สอนให้เราได้คิดที่จะทำงานที่เป็นประโยชน์มาอย่างต่อเนื่องจนทุกวันนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์กับคนไทย เป็นสิ่งผูกพันกันมานาน ฉันเองก็ภูมิใจ และประทับใจที่เคยได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯทั้งรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10”

หนังสือชีวิตเล่มสุดท้ายที่บอกว่า จะอยู่ถึงอายุ 120 ปี “นพ.เฉก ธนะสิริ” ประธานมูลนิธิฟื้นฟู-ส่งเสริมการแพทย์ไทยฯ ซึ่งเกิดปลายรัชสมัย ร.6 และกำลังจะก้าวสู่วัย 93 ปีอย่างมีคุณภาพ ได้ส่งผ่านประสบการณ์ชีวิตสอนแก่รุ่นลูกรุ่นหลานว่า การใช้ชีวิตเกิดมา ต้องมีชีวิตอย่างมีคุณค่า มีประโยชน์ต่อแผ่นดิน ต้องใช้ชีวิตให้ถูกต้อง เป็นคนมีธรรมะ รักษาศีลตามศาสนานั้นๆ ช่วงรัชสมัยในหลวง รัชกาลที่ 9 เป็นแผ่นดินที่ยาวที่สุดที่ตนมีชีวิตอยู่ จึงได้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงทำประโยชน์แก่ชาวไทยมากมาย เสด็จฯออกเยี่ยมราษฎรอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เหนือสุดจนใต้สุด ทรงเอาพระทัยใส่ประชาชนและแนะนำให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง ทำมาหากิน ทรงเป็นตัวอย่างอันดีงามที่จะน้อมนำมาเป็นแบบอย่าง

“ที่จริงสมัยเด็กๆ ผมเป็นนักเรียน รุ่นเดียวกับรัชกาลที่ 8 ที่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ สมัยนั้นมีลูกเจ้าฟ้า ลูกเจ้านายมาเรียนหลายองค์ รัชกาลที่ 8 ทรงเรียนชั้นประถม 2-3 ก็เสด็จฯ ไปสวิตเซอร์แลนด์ ผมก็เรียนไม่นาน พ่อก็ให้ย้ายไปเรียนที่ร.ร.สวนกุหลาบวิทยาลัย เพราะมีนักเรียนสอบทุนเล่าเรียนหลวงได้มากที่สุด พ่ออยากให้ผมไปเรียนต่างประเทศ ด้วยทุนเล่าเรียนหลวง ซึ่งผมก็สามารถทำได้ เหตุการณ์ในอดีตสมัย ร.7-ร.8 ไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อผมเท่าไหร่ เพราะอาจจะยังเด็ก ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ สมัยรัชกาลที่ 9 จึงมีเรื่องที่ประทับใจมากกว่า ซึ่งที่ผ่านมาสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลง ไปมาก เพราะความเจริญ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่มีมากขึ้น เราเองก็ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตลอดเช่นกัน แต่สิ่งที่เราควรยึดเอาไว้คือ การเป็นคนมีธรรมะ รักษาศีลและเจริญสติ ที่จะต้องนำมาเป็นหลักในการใช้ชีวิต ทั้งกายและจิตอย่างถูกต้อง”

แนวคิดและประสบการณ์จากชีวิตสู่ชีวิตที่ผ่านมาหลายยุคหลายสมัยนี้ คงทำให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นความผูกพันของคนไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้คิดและเข้าใจความหมายของชีวิตที่เกิดมาครั้งหนึ่ง จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรให้มีคุณค่าและคุณภาพ.
ทีมข่าวสตรีไทยรัฐ