การต่อสู้แบบ คาราเต้ของญี่ปุ่น.
หากมองย้อนไปก่อนโน้น ภาพยนตร์ระดับโลกส่วนใหญ่จะเน้นฉากบู๊ที่ต่อสู้กันด้วยอาวุธสารพัด แต่พอมาถึงระยะหลังๆ หากสังเกตดูจะเห็นว่ามีฉากการต่อสู้ด้วยมือเปล่า โดยใช้ ศิลปะแบบเอเชียมากขึ้น เป็นการแสดงให้เห็นชัดว่า ศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าแบบเอเชียกำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก
มวยไทย ยูโด เท ควันโด คาราเต้ กังฟู ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นกระแสที่เกิดขึ้นทั้งในจอเงินและมีการเปิดโรงเรียนสอนศิลปะ เหล่า นี้ในหลายๆประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย ฯลฯ ซึ่งต่างก็ประจักษ์แล้วว่า ศิลปะเหล่านี้ เป็นสิ่ง ที่ไม่เคยล้าสมัย ไม่เคยตกยุค แต่กลับจะเป็นที่ นิยมอย่างไม่หยุดยั้ง ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล โดยทีมงานต่วยตูน จึงภูมิใจที่จะนำเสนอศิลปะ การต่อสู้ด้วยมือเปล่าของ เอเชียเราให้โลกได้ร่วมภาคภูมิไปกับเราด้วย
ในฐานะคนไทย แน่นอนว่า ศิลปะการต่อสู้ที่เราเชื่อมั่นกันมากที่สุดก็คือ มวยไทย การต่อสู้ด้วยมือเปล่าอันไร้ข้อกำจัด ทั้งหมัด เท้า เข่า ศอก ที่ประเคนเข้าใส่คู่ต่อสู้ได้ไม่ยั้ง สืบสานกันมาเนิ่นนานหลายร้อยปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุค ของนายขนมต้ม บรมครูมวยไทยผู้ยิ่งใหญ่ที่แม้ กษัตริย์ต่างบ้านต่างเมืองยังยกนิ้วให้
ส่วนประเทศอื่นๆในเอเชีย ประเทศที่ศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าเป็นที่นิยมสูงสุด น่าจะเป็น 3 ประเทศหลัก คือจีน ซึ่งมีกังฟูเป็นตัวชูโรง เกาหลี มีเทควันโดเป็นหัวหอก และญี่ปุ่น ซึ่งมีหลายศิลปะอันหลากหลาย เช่น ยูโด คาราเต้ ฯลฯ
...
วิชา กังฟูของพระวัดเส้าหลิน.
กังฟูนั้นก็ไม่ต่างกับมวยไทยในแง่ ที่ว่าคนไทยรู้จักกันดีอยู่แล้ว อาจจะเป็นเพราะเราเห็นกันมากในภาพยนตร์จีนที่เคยได้รับความนิยมมา หลายยุคหลายสมัย ทำให้ คนไทยเข้าใจกังฟูดีจนแทบไม่ต้องอธิบายกันมากนัก แต่หากจะกล่าวกันแบบคร่าวๆก็เป็นที่ทราบกันดีว่า กังฟูที่มีการฝึกกันแบบเป็นจริงเป็นจังนั้น กำเนิดมาจากวัดเส้าหลิน ซึ่งตำนานที่ เล่าลือกันมากคือ ปรมาจารย์ตั๊กม้อผู้สร้างวัดเส้าหลินเป็นผู้คิดค้นขึ้น แต่หากสืบสาวย้อนไปก็จะพบว่า คนจีนฝึกกังฟูกันมานานก่อนหน้านั้นแล้ว ส่วนท่านตั๊กม้อที่มาจากชมพู ทวีปได้มาพัฒนาให้เกิดเป็นความยิ่งใหญ่มากขึ้น
เท ควันโด ศิลปะการต่อสู้ของเกาหลี.
ด้านเทควันโดนั้น มีหลายคนบอกว่า คล้ายมวยไทย ในเรื่องที่เน้นการใช้ขาเป็น หลัก แต่นั่นอาจจะเป็นมุมมองของฝรั่ง ที่เคยชินกับมวยสากลที่เน้นใช้หมัด ดังนั้น พอเห็นการต่อสู้ที่ใช้ขาเตะ ทำให้บางทีก็เหมารวมว่าเหมือนกัน และในการแข่งขันเทควันโดส่วนใหญ่เราก็มักจะได้เห็นการใช้ขาเตะอย่างรวดเร็ว เป็นหลักในการทำคะแนน แต่จริงๆแล้ว "เท" หมายถึงเท้า และ "ควัน" หมายถึงการโจมตีด้วยมือ รวมความแล้ว เทควันโดที่แท้จริงจึงเป็นการต่อสู้ที่ใช้ทั้งเท้าและมือ คือทั้งการเตะ ชก ฯลฯ ที่คนเกาหลีว่ากันว่า เป็นศิลปะอันยิ่งใหญ่ที่สืบทอดกันมานานกว่า 2 สหัสวรรษแล้ว
การ ต่อสู้แบบยูยิตสู.
หันไปมองทางญี่ปุ่นบ้าง ยูโดเป็นศิลปะการ ต่อสู้ด้วยมือเปล่าแบบแรกๆ ที่ทำให้คนทั่วโลกหันมามองศิลปะแบบนี้ของดินแดนอาทิตย์อุทัย แต่ยูโดไม่ใช่ศิลปะดั้งเดิม ทว่าเป็นการต่อยอด สืบทอดมาจากศิลปะการต่อสู้ที่เรียกว่า ยูยิตสู ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นหมายถึงศิลปะแห่งความอ่อน ซึ่งก็มีการสืบทอดวิชากันมานานกว่าพันปี โดยหลักการ สำคัญที่ทำให้ยูยิตสูเป็นที่น่าสนใจคือ แม้แต่คนตัวเล็ก หากเข้าใจหลักการล็อก และการจับทุ่ม ก็สามารถล้มคนที่ตัวใหญ่กว่าได้
...
ตัว เล็กก็ล้มตัวใหญ่ได้ด้วยยูโด.
คาโน่ จิโกโร่ เป็นชื่อที่ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นว่า เป็นผู้พัฒนายูยิตสูให้ กลายเป็นยูโด ด้วยหลักการที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือ ยักษ์เล็กล้มยักษ์ใหญ่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาะกับปรมาจารย์ผู้นี้เป็นอย่างมาก เพราะท่านเป็นหนุ่มร่างเล็ก สูงเพียง 157.48 เซน-ติเมตร และหนักเพียง 40.8 กิโล-กรัม ซึ่งจะว่าไปก็ไม่แปลกไปจากคนญี่ปุ่นในยุคนั้น (ปรมา-จารย์จิโกโร่เกิดในปี ค.ศ.1860) และไม่แปลกเลยที่คนญี่ปุ่นจะพัฒนาการต่อสู้อ่อนชนะแข็ง เล็กล้มใหญ่ โดยท่านได้ปรับปรุงให้ ยูโดมีความปลอดภัย เสริมสร้างสุขภาพ และเพิ่มการฝึกฝนในจิตใจมากขึ้น ในกาลต่อมา ยูโดจึงเป็นที่นิยมแพร่หลายมากกว่า
ส่วนคาราเต้นั้น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า มีสิ่งที่เหมือนกับกังฟู นั่นคือ มีผู้สันนิษฐานกันว่า เส้นทางเดินของคาราเต้น่าจะมาจากชมพูทวีป คือเริ่มจากอินเดีย ก่อนจะแพร่หลายเข้าไปสู่จีนแผ่นดินใหญ่ในยุคราชวงศ์ถัง และมาโด่งดังในดินแดนอาทิตย์อุทัยช่วงราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 และนักประวัติศาสตร์บางท่านก็คาดว่า คาราเต้น่าจะพัฒนามาจากกังฟูของปรมาจารย์ตั๊กม้อนั่นเอง
...
ปรมาจารย์ตั๊ กม้อ.
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 นั้น มีการค้าขายระหว่างจีนกับหมู่เกาะริวกิว (ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ของเกาหลี แต่ต่อมาได้ตกเป็นของญี่ปุ่น) ทำให้กังฟูเข้ามาแพร่หลายด้วย เกิดการรวมตัวกับศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น ศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าของแถบโอกินาวา เป็นต้น และแม้จะมีชื่อเรียกที่หลากหลาย และมีการพัฒนาไปในหลายทาง แต่รวมๆแล้วก็คือการต่อสู้ด้วยมือเปล่า เน้นการใช้หมัดและเท้า และได้มีการจัดสาธิตการต่อสู้แบบนี้อย่างเป็นทางการ โดยปรมาจารย์กิอิชิน ฟุนาโกชิ ในปี ค.ศ. 1922 ซึ่งในช่วงทศวรรษนั้นเอง ที่คำว่าคาราเต้ได้ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการขึ้น
เดิมทีมีผู้ให้คำ จำกัดความของคาราเต้ว่า มาจากคำว่า "คารา" ซึ่งเป็นภาษาจีน หมายถึงประเทศจีน ส่วน "เต้" คือมือ คาราเต้จึงเป็นการต่อสู้ด้วยมือในแบบจีน ซึ่งก็ดูจะยึดติดกับกังฟูอยู่ไม่น้อย แต่ในระยะหลัง มีผู้ให้คำจำกัดความใหม่ว่า คาราเต้ มาจากคำว่า "คารา" ของญี่ปุ่น ที่หมายถึงความว่างเปล่า (คำเดียวกับที่ใช้ในคำว่า คาราโอเกะนั่นแหละค่ะ) ดังนั้น คาราเต้จึงหมายถึง การต่อสู้ด้วยมือเปล่า ไม่มีการใช้ อาวุธ และสำหรับผู้ที่ฝึกหนักแล้ว มักจะใช้ปรัชญาเซนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกฝน ทำให้จิตใจว่างเปล่าด้วย หมายถึงการละจากกิเลสใดๆที่จะมาแผ้วพานนั่นเอง คาราเต้จึงไม่เป็นเพียงศิลปะการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง ผสานกับความนุ่มนวลแบบญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการฝึกจิต ก่อให้เกิดเป็นพละกำลังที่สำคัญด้วย
...
ปัจจุบัน ชาวต่างชาติหันมาฝึกการต่อสู้แบบเอเชียกันมาก.
วิถีแห่ง คาราเต้นั้นถูกนำไปใช้ในการสร้างภาพยนตร์อยู่หลายต่อหลายครั้ง อย่างเช่นภาพยนตร์ ชุดคาราเต้คิด ซึ่งมีมาแล้วหลายภาค ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แม้แต่ไม่นานนี้ปรมาจารย์การต่อสู้ของเอเชียเราอย่างเฉินหลง ก็ยังมารับบทเป็นนักแสดงนำในเรื่องคาราเต้คิดภาคล่าสุด ให้แฟนหนังฮอลลีวูดได้ทึ่งกันไปทั้งโลก
ก็อย่างที่บอกแล้วว่า ศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าที่ดีที่สุด ไม่ได้มาจากไหน แต่กำเนิดขึ้น ในเอเชียเรานี่เอง.
ทีมงานต่วย'ตูน