คนเราไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้น เฉกเช่นเดียวกับชีวิตของ ป้าใหญ่-อาภา กฤดากร ณ อยุธยา ภริยาของ "คุณชายสุทธิสวาสดิ์ กฤดากร" อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศฮังการี และประเทศแถบละตินอเมริกา ที่เพิ่งจะเริ่มต้นสร้างฝันมีรีสอร์ท เป็นของตัวเอง ในชื่อบ้านลักษสุภา รีสอร์ท หัวหิน ก็เมื่อตอนอายุ 72 ปี และจนถึงขณะนี้ แม้ป้าใหญ่จะอายุ 76 ปีแล้ว แต่ก็ยังชัดเจนในจุดยืนว่า ชีวิตนี้จะไม่ยอมอยู่เฉยเพื่อรอความตาย ตราบใดที่สมองยังเดินได้ หัวใจยังเต้นอยู่ ป้าก็จะสู้จนยิบตา!!

"ที่ดินติดทะเลหัวหินในแถบนี้ กินพื้นที่กว่า 100 ไร่ ดั้งเดิม เป็นของเสด็จปู่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ พระราชโอรสองค์ที่ 17 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 กับเจ้าจอมมารดากลิ่น ซึ่งเป็นต้นราชสกุลกฤดากร สมัยยังมีพระชนม์ชีพอยู่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงมีรับสั่งให้กรมพระนเรศร์ฯเดินทางมาบุกเบิกหาที่ดินสวยๆแถวภาคใต้ เพื่อเป็นสถานที่พักตากอากาศของเจ้านายชั้นสูง กรมพระนเรศร์ฯทรงเห็นว่าที่ดินที่หัวหินดีและเหมาะสม จึงทรงเลือกที่ดินบริเวณวังไกลกังวล เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน ขณะเดียวกัน ก็ทรงสร้างพระตำหนักของพระองค์เองบนที่ดินอีกผืนหนึ่ง ตั้งชื่อว่าสุขเวศม์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นที่ดินดั้งเดิมของราชสกุลกฤดากร

...


...เมื่อกรมพระนเรศร์ฯสิ้นพระชนม์ "หม่อมเจิม" ซึ่งเป็นหม่อมองค์ที่สามของพระองค์ได้ตัดสินใจสร้าง บ้านเช่าเป็นหลังๆบนที่ดินผืนนี้ โดยคนสมัยก่อนจะรู้จักกันดีในชื่อสุขเวศม์ เพราะถึงเวลา ปิดเทอม ก็จะต้องมาเที่ยว มาพักผ่อนที่หัวหินกันอย่างคึกคัก อย่างไรก็ดี หลังจาก "หม่อมเจิม" สิ้นชีพไปแล้ว ได้มีการแบ่งที่ดินผืนนี้ให้โอรสและธิดาทั้ง 3 องค์ โดยที่ดินแปลงหนึ่งเป็นของโอรสองค์โต คือ หม่อมเจ้า เสริมสวาสดิ์ กฤดากร ซึ่ง เป็นท่านพ่อของคุณชายสุทธิสวาสดิ์ (สามีของป้าใหญ่) แปลงที่สองเป็น ของหม่อมเจ้าดิลกฤทธิ์ กฤดากร และแปลงที่สามเป็นของหม่อมเจ้าหญิงผจงรจิตร กฤดากร ซึ่งเสกสมรสกับพลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช และเป็นเจ้าของร้านโขมพัสตร์"..."ป้าใหญ่" เล่าถึงประวัติความเป็นมาเก่าแก่ของที่ดินผืนงามริมชายหาดหัวหิน ติดกับโรงแรมรถไฟในอดีต ซึ่งปัจจุบันเป็นโรงแรมหรูระดับห้าดาว "โซฟิเทล เซ็นทารา หัวหิน"

ก่อนที่จะสร้างบ้านลักษสุภา รีสอร์ท หัวหิน ที่ดินผืนนี้ ถูกปล่อยทิ้งมานานแค่ไหน

คือหลังจาก "หม่อมเจิม" สิ้นชีพไปแล้ว "หม่อมหลวงแส" ซึ่งเป็น สะใภ้คนโต และเป็นท่านแม่ของคุณชายสุทธิสวาสดิ์ ก็ได้เข้ามาทำบ้านเช่าต่อ จนเมื่อท่านสิ้น ที่ดินผืนนี้ได้ถูกปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ กระทั่งเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ลูกสาวคนเดียวของป้าใหญ่ คือ หม่อมหลวงลักษสุภา กฤดากร ได้ตัดสินใจมาสร้างบ้านพักตากอากาศให้แม่ไว้สำหรับพักผ่อน สงบจิตสงบใจ เพราะรู้ว่าแม่กำลังเป็นทุกข์มาก หลังจากคุณชายสุทธิสวาสดิ์สิ้นกะทันหัน ระหว่างอยู่ในตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศฮังการี ขณะอายุเพียง 57 ปี

หลังสิ้นคุณชาย ชีวิตเคว้งคว้างขนาดไหน

คุณชายสิ้นตอนอายุ 57 ปี ซึ่งถือว่าอายุสั้นมาก ปกติท่านสุขภาพ ไม่ค่อยแข็งแรง แต่ก็ไม่มีเค้าลางมาก่อน สมัยที่คุณชายยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า คุณชายเป็นสามีที่ประเสริฐเหลือเกิน และดีเหลือเกิน ไม่น่าอายุสั้น ตอนนั้นคุณชายเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำอยู่ที่ฮังการี ต้องนำศพคุณชายกลับไปที่อังกฤษ ส่วนป้าใหญ่ก็ต้องเดินทางกลับมาอยู่เมืองไทยทันที เก็บกระเป๋าเก็บของทุกอย่างด้วยความรู้สึกที่เคว้งคว้างบอกไม่ถูก จนลูกสาวถามว่าทำไมแม่ปล่อยตัวอย่างนี้ และชักจะอึกๆอักๆพูดไม่รู้เรื่อง เพราะตั้งแต่แต่งงานกันมา ตอนอายุ 23 ปี ก็อยู่ด้วยกัน ตัวติดกับคุณชายตลอด ไม่เคยห่างกันแม้แต่วันเดียวเลย ตามคุณชายไปทำงาน ที่ต่างประเทศตลอด ตั้งแต่ตำแหน่งแรกเป็นเลขาฯตรี ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส จนได้เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำอาร์เจนตินา อุรุกวัย ปารากวัย โบลิเวีย ชิลี และสุดท้ายมาจบชีวิตที่ฮังการี คือตลอดเวลากว่า 30 ปี ป้าใหญ่ อุทิศให้คุณชายทั้งหมด แต่จู่ๆตื่นขึ้นมาวันหนึ่ง... ไม่มีคุณชายแล้ว


อะไรทำให้ป้าใหญ่ กลับมาเข้ม แข็งอีกครั้ง

ป้าใหญ่ได้สัญญากับคุณชายก่อนที่ท่านจะสิ้นว่า จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างเข้มแข็งที่สุดเพื่อดูแลลูกและหลานๆ คือ "อุ้ม" กับ "อั้ม" ขอให้คุณชายไปให้สบาย และไปสงบโดยไม่ต้องห่วง ตอนสิ้นคุณชาย หลานสาวคนโตเพิ่งอายุแค่ 3 ขวบ ส่วนหลานชายคนเล็กอายุขวบเดียว ตอนนี้ก็โตจนเรียนมหาวิทยาลัยกันแล้ว หลังจากกลับมาอยู่เมืองไทย "คุณลักษ์" พยายามหาอะไรให้ทำ แนะนำให้แม่ขายคริสตัลอะไรต่อมิอะไร และด้วยความที่กลัวแม่จะเหงา จึงได้สร้างบ้านพักตากอากาศหลังนี้ขึ้นมาบนที่ดินของราชสกุลกฤดากร เมื่อ 10 กว่าปีก่อน เพื่อให้แม่ได้มาพักผ่อน แต่มาพักผ่อนคนเดียวก็เหงามาก เพราะมีบ้านหลังเดียวโดดๆ เลยมาคุยกันประสาแม่ลูกว่า แม่อยากทำรีสอร์ทเล็กๆ บรรยากาศเหมือนสมัยก่อน จะได้ไม่เหงา และมีอะไรให้ทำ ก็เริ่มทำรีสอร์ทตอนอายุ 72 ปี

มีกันอยู่แค่สองคนแม่ลูก สร้างรีสอร์ทใหญ่ขนาดนี้ ไม่เหนื่อย แย่หรือคะ

ก็เริ่มจากที่ไม่มีอะไรเลย เราก็ได้เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง ชีวิตคือ การไม่ยอมพ่ายแพ้ เราช่วยกันทั้งแม่และลูก คุณลักษ์เป็นฝ่ายบริหาร ส่วนป้าใหญ่ก็เป็นกรรมกร...จริงๆนะ คือเดินกวาดพื้น ถูพื้น ทำส้วม ดูแลต้นไม้ ทุกอย่าง เราสองคนฝันว่าอยากทำรีสอร์ทเป็นเหมือนบ้านพักตากอากาศสมัยปู่ย่าตาทวด สร้างเป็นบ้านแยกเป็นหลังๆ ทำขึ้นมาทั้งหมด 16 หลัง หลังละ 2 ชั้น รวม 40 ห้อง เป็นลักษณะของคอมพาวด์ มีครบหมดทุกอย่าง ทั้งซักผ้ารีดผ้าอยู่ในที่เล็กๆ ป้าใหญ่ไปถามโรงพยาบาลสมิติเวชว่าใช้เครื่องซักผ้าอะไร ใช้สบู่อะไร ก็ไปซื้อไปทำตามเขา เพราะคิดเสมอว่ารีสอร์ทของเราต้องสะอาดได้มาตรฐานระดับเดียวกับโรงพยาบาล ไม่มีทางยอมส่งผ้า ไปซักที่อื่น และที่นี่จะนึกถึงเด็กเล็กๆมาก เพราะเราทำโรงเรียนอินเตอร์ด้วย เครื่องใช้ทุกอย่างจะคิดเผื่อเด็กเล็กไว้ก่อน แม้แต่ชาวเวอร์ เราก็ไม่ใช้ฝักบัวใหญ่ๆเหมือนโรงแรมทั่วไป แต่เลือกเป็นฝักบัวเล็กแบบมีสายอ่อน เพื่อที่ว่า เด็กเล็กๆจะสามารถอาบน้ำเองอะไรเองได้ และเรื่องน้ำร้อนก็ต้องระมัดระวังมาก อ่างล้างหน้าจะไม่มีน้ำร้อนเลย เพราะเผื่อเด็กๆมาแปรงฟันด้วยตัวเอง คืออยากสร้างรีสอร์ทนี้สำหรับครอบครัวโดยเฉพาะ เราแม่ลูกนั่งดู เห็นปู่ย่าตายายนั่งรออยู่ข้างบน พ่อแม่นั่งอยู่ริมชายหาด และลูกๆเล่นน้ำอยู่ที่หาดทราย อันนี้เป็นความสุขจริงๆ เพราะเราไม่ได้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจอย่างเดียว แต่ยังให้ความสุขมนุษย์คนอื่นจากหัวใจจริงๆด้วย

...


อายุ 76 ปีแล้ว มีเคล็ดลับอะไรให้ดูแอ็กทีฟเสมอ

อย่าคิดว่าตัวเองแก่ ถ้าคิดว่าเราเหนื่อยเราแก่ และรอแต่วันตาย เราก็จะกลายเป็นคนแก่ที่เหี่ยวเฉา ไร้เรี่ยวแรง การได้มาเดินคุมรีสอร์ทเองแบบนี้ ตรวจตรารายละเอียดเองทุกอย่าง ยิ่งทำให้แอ็กทีฟและแข็งแรง ทุกคนต้อง หาอะไรทำ อย่าปล่อยชีวิตไปวันๆ แทนที่จะเล่นไพ่ลับสมอง ป้าใหญ่ไม่เล่นหรอก ทำงานแบบนี้ดีกว่า นี่ล่ะคือการฝึกสมอง ทำให้ไม่แก่ คือฝรั่งอาจจะเดินก้าวเดียว แต่ป้าใหญ่ก็ 3 ก้าววิ่งกระด๊อกๆตาม อีกอย่างป้าใหญ่เป็นคนสนุกสนานอยู่แล้ว เดินไปไหนก็มีไอ้โจ๊ก หมาจรจัดแถวนี้ เดินตามตลอดเวลา ฝรั่งที่มาเช่าบ้าน ถามว่า ยูมาทำอะไรที่นี่ ป้าใหญ่ก็บอกว่า ฉันเป็นคนสวน ฝรั่งก็ถามว่าแล้วใครเป็นเจ้าของล่ะ ป้าใหญ่ก็ชี้ไปที่ไอ้โจ๊ก ฝรั่งเลยซักใหญ่ ทำไมยูพูดแบบนี้ล่ะ ป้าใหญ่ก็อธิบายว่า ก็หมาตัวนี้อยู่ที่นี่มานานก่อนฉันซะอีก ฉันมาอยู่ทีหลัง เพราะฉะนั้น มันก็ต้องเป็นเจ้าของ ฝรั่งก็เอาไปเล่าในอินเตอร์เน็ต เป็นเรื่องขำขันสนุกสนาน หมาตัวนี้มันคาสโนว่า มีแฟนๆทั่วไปหมด เดี๋ยวนี้ป้าใหญ่เลี้ยงหมาอีกตัว เป็นพันธุ์บีเกิล ชื่อ CAPO แต่ไม่เคยปล่อยให้วิ่งเพ่นพ่าน เพราะไม่อนุญาตให้แขกนำสัตว์ทุกชนิดเข้ามาในรีสอร์ท รวมถึงตัวเองด้วย

จนถึงทุกวันนี้ ความสุขแท้จริงของป้าใหญ่อยู่ตรงไหน

คงจะอยู่ตรงที่ได้ค้นพบตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่รัก และฝันไว้ ถึงแม้จะเป็นการเริ่มต้นตอนอายุเข้าเลข 7 ไปแล้วก็ตาม แต่เชื่อป้าใหญ่สิว่า ชีวิตเริ่มต้นได้ทุกเวลา ตราบที่ ยังมีลมหายใจอยู่ สมองยังเดินได้ หัวใจยังเต้นอยู่ ก็อยากทำในสิ่งที่ฝันไว้ให้ดีที่สุด แม้ว่าตับไตไส้พุงและอะไรๆในร่างกายเราจะถอยร่นไปมากแล้ว แต่ชีวิตก็ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้นหรอก จนปูนนี้แล้ว ป้าใหญ่ ยังไม่หยุดเรียนรู้เลยนะ ยังเปิดตาเปิดใจตัวเองทุกอย่าง

...


ชีวิตนี้จะมีวันเกษียณได้พักผ่อนอยู่เฉยๆบ้างไหม

ป้าใหญ่คงยังไม่หยุดในกำลังกายและกำลังใจ จนกว่าชีวิตของตัวเอง จะจบสิ้น เมื่อไหร่ชีวิตจบ เราก็จบ คนอย่างป้าใหญ่ไม่มีวันเกษียณ จนกว่า จะถึงวันนั้น และจะไม่มีวันมายืนรอความตาย ป้าใหญ่สอนหลานๆเสมอ เคยชวนหลานๆมายืนดูที่ทะเล มองไปไกลแสนไกล ชี้ให้หลานๆดูคลื่นมันมาเป็นลูกๆ แต่ธรรมชาติของคลื่นย่อมจะมีขึ้นมีลง แล้วก็ขึ้นแล้วก็ลง นี่คือ ชีวิตของมนุษย์ หลานๆจำไว้นะ ในชีวิตคนเราไม่ใช่ว่าจะดีตลอดไป หรือถ้าตกต่ำก็ไม่ใช่ดิเอนด์ออฟเดอะเวิลด์ แปลว่าโลกจะแตก เมื่อขึ้นสูงที่สุด ก็อย่าคิดว่าหนูดีที่สุดแล้วคงจะไม่ตกต่ำ มันจะมีขึ้นและลงเสมอ คลื่นอันนี้มันก็ใกล้เข้ามาทุกทีๆ จนกระทั่งถึงพื้นเท้าที่เรายืนอยู่ริมทะเล ติดฝั่งทะเล นั่นคือความจบสิ้นของมนุษย์ คือความตาย นี่คือชีวิตที่ระคนกันไป ถ้าเกิดยาย จากไปแล้ว มีทุกข์ก็อย่านึกว่าทุกข์ที่สุด เมื่อคิดว่ามีสุข ก็อย่านึกว่าสุขที่สุด

...


ใช้ชีวิตมาเกินคุ้มขนาดนี้แล้ว ยังมีอะไรที่เป็นห่วงอีกไหมคะ

(ยิ้ม) ก็บอกหลานๆให้รีบเรียนให้จบ จะได้มาช่วยยายช่วยแม่ทำรีสอร์ท ที่ดินตรงนี้เป็นที่ดินของบรรพบุรุษ เราจะต้องช่วยกันทำให้สืบต่อไป และที่สำคัญที่สุดคือ ทั้งอุ้มและอั้ม จะต้องมีความสามัคคีซึ่งกันและกัน แม่หนูเป็นลูกคนเดียวก็ย่อมทำได้ แต่หนูมีกันสองคนพี่น้อง ต้องสามัคคี หนูจะต้องยอมรับและไปด้วยกันให้ได้ ยายขออย่างเดียวคือความสามัคคี ถึงยายจะจากโลกนี้ไปวันนี้พรุ่งนี้ ก็มีความสุขและยิ้มได้
ชัดเจนและมั่นใจเกินร้อยอย่างนี้ สมแล้วที่ได้รับฉายา"เล็กพริกขี้หนู".