ด้วยความฝันและความรู้สึกที่มีมาแต่เด็ก

เป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดนอกกรอบ “พรชนะ ถนอมสัตย์” เลือกที่จะขีดเส้นทางเดินชีวิตของตัวเอง โดยสลัดคราบผู้บริหารการเงินที่รุ่งโรจน์ มาสู่เชฟปรุงอาหารที่สร้างความสุขให้ทั้งตนเองและผู้ที่ได้ลิ้มลอง พรชนะ หรือ เชฟนิกส์ ของผู้รู้จักคุ้นเคย เล่าถึงตัวเองว่า เป็นลูกคนสุดท้องในจำนวน 3 คนของครอบครัว นพ.ศุภชัย-พญ.กรกมล ถนอมสัตย์ ทั้งๆที่พ่อและแม่เป็นหมอ แต่ที่บ้านไม่มีใครเป็นหมอเลยสักคน ทำงานด้านไฟแนนซ์กันหมด อย่างตนเองพอจบ ป.6 ร.ร.อัสสัมชัญศรีราชา ก็ไปเรียนต่อไฮสกูลที่ประเทศอังกฤษ จนจบปริญญาตรี ด้านคอมพิวเตอร์และธุรกิจ ที่ University of Hertfordshire ที่เลือกเรียนด้านไอที เพราะเป็นช่วงกำลังบูม และเรียนต่อปริญญาโททันที ด้าน Internet and Database Systems ที่ London South Bank University พอเรียนจบก็ทำงานด้านการเงินมาตลอดชีวิต ตั้งแต่ที่ธนาคารกสิกรไทย ทำหน้าที่เป็นโบรกเกอร์หุ้น จากนั้นได้ไปทำงานที่บริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) ดูแลลูกค้าที่เป็นไฮเน็ตเวิร์ก และกลับมาทำงานที่ธนาคารกสิกรไทยอีกครั้ง ในส่วนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ โดยดูทางด้านไพรเวท แบงก์กิ้ง และสุดท้ายที่ บริษัทหลักทรัพย์ เจ.พี.มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด ดูแลลูกค้าสถาบันเกี่ยวกับหุ้น ทำงานในวงการเงินกว่า 10 ปี จนอิ่มตัวก็ลาออกมาทำงานที่ตัวเองชอบ ตามความฝันตั้งแต่เด็ก คือการเป็น “เชฟ”

“ผมมีความชอบเรื่องการทำอาหาร เพราะตอนที่อยู่อังกฤษ อยู่โรงเรียนประจำ ได้ทำอาหารกินเองตลอดเวลา ได้เรียนรู้สูตรเอง อ่านหนังสือ อ่านตำรา ทำกินเองมาโดยตลอด เลยทำอาหารฝรั่งเยอะ ช่วงที่ทำงานแบงก์ผมก็ยังชอบทำอาหาร ก็ได้ทำอาหารไปเรื่อยๆ พอออกมาจากแบงก์เลยมีความคิดว่าอยากจะเป็น “เชฟ” เลยไปเรียนที่โรงเรียนสอนอาหารระดับโลกมาสักพัก แต่ไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราวนัก สุดท้ายก็ออกมาฝึกฝนตนเองมากกว่า โดยตนถนัดทำอาหารทางด้านโมเดิร์นเฟรนช์ จนมาถึงตอนนี้ ทำเป็นเชฟเทเบิ้ลอย่างเต็มตัวมาได้ 1 ปี ผ่าน nick C thanomsat.com เรียกว่าเป็นไพรเวท ดินเนอร์ ให้กับลูกค้าเป็นกลุ่มเล็กๆ 10-20 คน ทำตามโรงแรม ทำตามบ้าน จะจัดเป็น เทสติ้ง เมนู 5 คอร์ส 7 คอร์ส แล้วแต่ความต้องการของลูกค้า มีไวน์ แพริ่งด้วย งานทั้ง 2 อย่างนี้เป็นคนละเรื่องกันเลย ตอนทำงานด้านการเงิน ก็เป็นอะไรที่ผมคิดว่าถนัด เพราะผมค่อนข้างชอบเรื่องตัวเลข แต่มางานทำอาหารนี้เป็น passion เป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่า เป็นสิ่งที่ชอบมาตั้งแต่เด็ก และคุณพ่อเป็นคนที่ชอบทำอาหารด้วย ทำให้ผมซึมซับมาตั้งแต่เด็กแล้ว พอได้ทำแล้วมีความสุข ถ้าจะเทียบตัวเงินเดือนที่ได้รับ ตอนทำงานที่แบงก์กับตอนนี้อาจจะเทียบกันไม่ได้ แต่ความสุขในการทำงานมันต่างกันครับ” เชฟนิกส์เล่าถึงเส้นทางชีวิตการเปลี่ยนชีวิตแบบหักศอกคนละด้านแบบนี้ เชฟนิกส์ บอกว่า คิดว่าถ้าจะเปลี่ยนชีวิตตอนอายุ 50 ปี ตนคงไม่มีแรงที่จะทำขนาดนี้ เพราะฉะนั้นอายุการทำงานด้านการเงินถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ถ้าอยากจะออกมาทำอะไรที่เป็น passion ของตัวเอง ก็ต้องรีบทำแล้ว จึงตัดสินใจออกมาเลย งานทั้ง 2 อย่างต่างกัน แต่ตนยังใช้หลักในการทำงานที่เหมือนกัน คือ ความเป็นมืออาชีพ มีความละเอียด เพื่อที่จะได้ผลออกมาสมบูรณ์ที่สุด

...

“ผมก็ได้เอาความละเอียดของการเป็นแบงเกอร์มาใช้ในการทำอาหารด้วย ไม่ชอบที่จะผิดพลาด ชีวิตผมไม่อยู่ในความเสี่ยง ก่อนที่จะทำจริง ผมฝึกฝนเยอะมาก เพื่อที่จะได้ออกมาสมบูรณ์ที่สุด ตอนนี้ไม่ได้มองไกล เราใช้ชีวิตทำงานอย่างมีความสุขในทุกๆวันดีกว่า”...นับเป็นตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่เลือกใช้ชีวิตที่ชอบอย่างแท้จริง.