ครอบครัวของผมเคยมีฐานะดี อยู่อย่างสุขสบาย แต่เพราะชีวิตคือความไม่แน่นอน วันหนึ่งเมื่อครอบครัวเจอวิกฤติ ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง

เมื่อก่อนครอบครัวของผมเปิดร้านขายของชำ เป็นร้านที่มีชื่อเสียงร้านหนึ่งในอำเภอเลยก็ว่าได้ ตอนนั้นครอบครัวของเรามีความเป็นอยู่ที่ดี วันเสาร์-อาทิตย์คุณพ่อคุณแม่มักพาผมไปกินข้าว ดูหนังในเมือง ผมอยากทำอะไรก็ได้ทำทุกอย่าง ช่วงรอยต่อมัธยมต้นสู่มัธยมปลายเกิดวิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่ คนไม่ค่อยมาซื้อของ ทำให้ของในร้านเหลือเยอะ พอไม่มีคนซื้อก็ไม่มีเงินหมุนเวียน กิจการเริ่มแย่ลงๆ จนสุดท้ายคุณแม่ตัดสินใจขายบ้านหลังใหญ่ ประกอบกับช่วงนั้นผมเข้ามาเรียนมัธยมปลายในตัวเมือง  คุณแม่จึงมาซื้อบ้านหลังเล็กๆ อยู่ในเมือง

หลังจากเจอพิษเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ของเราเปลี่ยนแปลงไปมาก แม้ไม่ถึงกับอดมื้อกินมื้อ แต่ก็ไม่สามารถจับจ่ายใช้สอยอย่างสะดวกสบายได้เหมือนเคย วันคล้ายวันเกิดของผมปีหนึ่ง ผมอยากได้เสื้อ ตอนแรกคิดว่าเสื้อตัวนี้ราคาประมาณ 200 บาท ก็บอกคุณแม่ว่าอยากได้ แต่พอไปที่ร้านปรากฏว่าราคา 800 บาท คุณแม่หน้าเจื่อน เพราะท่านซื้อให้เราไม่ได้เหมือนเคย เมื่อกลับถึงบ้านท่านร้องไห้เพราะเสียใจที่ไม่มีเงินซื้อเสื้อให้ ผมรู้สึกแย่มากที่ทำให้คุณแม่ร้องไห้ คิดไว้ว่าวันหนึ่งจะต้องเลี้ยงดูท่านให้สบายให้ได้

ตอนเรียนมัธยมปลาย ผมเริ่มรู้ตัวว่าชอบทำกิจกรรม ชอบงานบันเทิง พอเข้ามหาวิทยาลัย ผมขอคุณแม่ว่าจะไปเรียนในกรุงเทพฯ โดยเลือกเรียนรัฐประศาสนศาสตร์ เพราะอย่างน้อยเรียนจบก็สามารถรับราชการได้ ผมเลือกเรียนที่กรุงเทพฯ เพราะอยากหาอะไรที่ชอบทำควบคู่ไปด้วย เผื่อจะเป็นช่องทางทำเงินให้ผมและครอบครัวได้

...

พอย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ต้องปรับตัวเยอะมาก เพราะที่พักอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยพอสมควร ผมไม่ชินกับปัญหาจราจรที่คาดคะเนเวลาไม่ได้ ทำให้ไปเรียนสายบ้าง หรือบางครั้งก็เข้าเรียนไม่ทัน ยิ่งผมทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยไปด้วย ทำให้สุดท้ายเกรดเฉลี่ยออกมา 2.00 ผมตกใจมาก เพราะไม่เคยเรียนแย่ขนาดนี้มาก่อน ตอนนั้นนอกจากเกรดจะแย่แล้ว เงินก็ไม่พอใช้ ผมท้อใจมาก โทรไปหาคุณแม่แล้วร้องไห้ บอกว่าอยากกลับบ้าน คุณแม่รับฟังจบ ท่านเอ่ยเพียงว่า “บอมเรียนให้จบก่อนได้ไหม แล้วถ้าอยากกลับมาทำงานแถวๆ บ้านค่อยว่ากัน”

เมื่อคุณแม่ขอมาแบบนี้ ผมยอมฟังคำท่าน นอกจากนี้ท่านยังส่งเงินมาให้มากขึ้นเท่าที่จะทำได้ ทั้งๆ ที่ท่านเองก็ไม่ค่อยมี ผมกลับมาตั้งใจเรียนอย่างจริงจังเพื่อคุณแม่ ระหว่างนั้นมีพี่ที่รู้จักชวนไปแคสเป็นศิลปินของค่ายเพลงแห่งหนึ่ง ผมผ่านการคัดเลือกได้เซ็นสัญญาเตรียมออกอัลบั้ม แต่ก็เกิดปัญหาภายในขึ้น ทำให้แผนออกอัลบั้มล่ม ต้นสังกัดบอกว่า ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมจะเรียกอีกที แต่ผมไม่อยากรออย่างไร้จุดหมาย จึงขอออกจากสังกัด

หลังจากออกมาได้สักพัก พี่คนหนึ่งแนะนำให้ไปประกวด KPN ผมลองไปประกวดจนเข้ารอบสุดท้าย และได้เป็นศิลปินในสังกัด KPN แม้เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงแล้ว  แต่หนทางก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พอเข้ามาในวงการสักพัก ทุกอย่างเริ่มนิ่ง บางเดือนมีแค่งานถ่าย VTR สองสามงานเท่านั้น พอไม่ค่อยมีงาน ผมอยากบวช เพราะเคยคิดไว้นานแล้วว่า ถ้ามีเวลาอยากบวชทดแทนบุญคุณให้คุณพ่อคุณแม่สักครั้ง จึงไปคุยกับพี่ที่ดูแลว่าขอไปบวช

ผมไปบวช 9 วันที่จังหวัดเชียงใหม่ ขณะที่บวชผมรู้สึกสงบกว่าเดิมมาก แล้วก็มีแต่ความสบายใจ น่าแปลกที่พอสึกออกมาได้ไม่นาน ก็มีละครและงานอื่นๆ เข้ามาเยอะขึ้น ผมรู้สึกว่าหลังบวชชีวิตเราดีกว่าเดิม จึงยิ่งไม่ทิ้งการทำบุญ ผมสวดมนต์ก่อนนอน และพยายามทำบุญสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการสะสมบุญไปเรื่อยๆ ต่อมาผมได้งานละครเวที ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีมากๆ แต่ผมไม่เคยเล่นละครเวทีมาก่อน จึงเล่นไม่ได้ จนครูสอนเดินเข้ามาเขย่าตัวแล้วบอกว่า “ถ้าทำไม่ได้ก็เลิกทำ แล้วไปเดินแบบอย่างเดียว”

พอถึงวันซ้อม เราก็ยังทำไม่ได้อีก จากที่ครูฝึกกำลังสอนทุกคนในชั้นเรียนอยู่ พอเห็นผมทำไม่ได้ เขาเก็บกระเป๋าเดินออกไปเลย ผมเครียดมาก แต่เพื่อนๆ พี่ๆ ก็โทรมาให้กำลังใจ ผมก็ฮึดสู้จนทำสำเร็จ ปัจจุบันครูฝึกก็รักเรา และผมก็มีงานเข้ามาเรื่อยๆ

ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับการทำงานตรงนี้ แล้วก็ภูมิใจที่ในที่สุดสามารถส่งเงินให้ครอบครัวได้ตามที่เคยตั้งใจไว้

อนุรักษ์ บุญเพิ่มพูล (บอม KPN)

...