วงการสื่อสิ่งพิมพ์บ้านเราตกอยู่ในสภาพขวัญกระเจิงขนานแท้ นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์นิตยสารเก่าแก่ชื่อดังของเมืองไทย ทยอยล้มครืนไปทีละฉบับสองฉบับไม่ต่างจากโดมิโน่...หรือนี่คือความพ่ายแพ้ของสื่อสิ่งพิมพ์?!
อาการโคม่าของวงการน้ำหมึก เริ่มส่อเค้าเมื่อนิตยสารผู้หญิงยุคบุกเบิกอย่าง “เปรียว” ของ “ชเยนทร์ คำนวณ” ประกาศอำลาแผงเป็นเจ้าแรกๆ ปิดตำนาน 35 ปี ไปอย่างนิ่งสงบไม่ทุรนทุราย เมื่อเดือน ธ.ค.2558 ตามมาติดๆด้วย “VOLUME” แมกกาซีนแฟชั่นแนวหวือหวา วางแผงฉบับสุดท้ายเดือน ก.พ. 2559 หลังอยู่มา 12 ปี
อาการเลือดไหลไม่หยุดยังคงระบาดไปทั่ว โดยผู้พ่ายแพ้รายต่อไปคือ “อิมเมจ” ของ “แอร์–คำรณ ปราโมช ณ อยุธยา” ยอมตัดใจลาแผงทิ้งตำนาน 29 ปี เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ท่ามกลางความขัดแย้งกับนายทุนชุดใหม่ ขณะที่สถานการณ์ “พลอยแกมเพชร” ของ “ป้าชาลี–ชุลิตา อารีย์พิพัฒน์กุล” ซึ่งปลุกปั้นมายาวนาน 25 ปี ก็ต้องถึงกาลอวสาน เพราะไปต่อไปไม่ไหว แต่ช็อกสุดเห็นจะเป็น “สกุลไทย” นิตยสารเก่าแก่ที่ค้ำชูวงการวรรณกรรมมาถึง 61 ปี ได้ปิดฉากไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา
ใครจะเป็นรายต่อไปที่ต้องพ่ายแพ้ “สื่อดิจิตอล” และพฤติกรรมแดกด่วนของผู้บริโภคยุคใหม่ เป็นคำถามบาดใจที่ไม่มีใครอยากพูดถึง!! แต่ถ้าถามใหม่ว่า ทำยังไงให้อยู่รอดในยุคขาลงของสื่อสิ่งพิมพ์ คนวงการน้ำหมึกเกินครึ่งพร้อมจะตอบด้วยความเต็มใจ แถมแต่ละคำตอบยังชี้ให้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

...
ในฐานะยักษ์ใหญ่วงการสิ่งพิมพ์ที่ไม่ซวนเซไปกับคลื่นลม “ระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์” ซีอีโอหญิงเก่งแห่ง “ค่ายอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง” บอกเล่าถึงเบื้องหลังการวิ่งสู้ฟัดตลอด 17 ปี การกุมบังเหียนว่า มีเดียแลนด์สเคปเปลี่ยนแปลงหมด ในยุโรปและอเมริกาพูดถึงแนวโน้มนี้ตั้งแต่ 10 ปีก่อน ค่ายอมรินทร์เห็นการเปลี่ยนแปลงมานานแล้ว และพยายามปรับตัวตลอดไม่เคยหยุดนิ่ง โดยกลยุทธ์ของเราคือ “Omni Media + Omnichannel” จากออนพรินต์ เราทำออนกราวนด์ไปจัดอีเวนต์ด้วย ตั้งแต่ 16 ปีที่แล้ว เพื่อเชื่อมโยงกับผู้บริโภค เมื่อถึงยุคออนไลน์เติบโตรวดเร็ว ทุกแบรนด์ในเครือก็ทำออนไลน์หมด เราไม่แข่งกับแบรนด์นิตยสาร แต่แข่งกับตลาดในแต่ละแคททิกอรี่ ตั้งเป้าว่าจะต้องเป็นท็อปวันในทุกแคททิกอรี่ จริงๆแล้วไม่ใช่แค่ธุรกิจสิ่งพิมพ์ที่ต้องเปลี่ยนตัวเอง แต่ทุกองค์กรต้องปรับตัวขนานใหญ่ ในเมื่อผู้บริโภคมัลติขนาดนั้น สื่อก็ต้องปรับตัวให้มัลติ วันนี้ไปหาลูกค้าบอกเลยว่าไม่มีใครใช้สื่อสื่อเดียวแล้ว เพราะเขารู้ว่าผู้บริโภคใช้หลายสื่อ เรายังบุกเบิกไปทางออนแอร์ด้วย คือทำอมรินทร์ทีวี ล่าสุดได้ “คุณฐาปน และคุณปณต สิริวัฒนภักดี” เข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ ถือหุ้น 47% เพื่อสร้างความร่วมมือในการเชื่อมโยงพันธมิตรอื่นๆ ที่จะเป็นโปรเจกต์ร่วมกัน นอกจากนี้ อีก on คือ On point of sale เรามีร้านนายอินทร์อยู่เกือบ 200 สาขาทั่วประเทศ และมีระบบอี-คอมเมิร์ซ ต่อยอดให้เกิดการเชื่อมโยงประสบการณ์ซื้อขายที่ง่าย เร็ว และไม่จำกัดแค่หนังสือ
ปีนี้ภาพรวมของโฆษณาลดลง เพราะการใช้จ่ายในประเทศลดลง แต่โดยภาพรวมเรายังอยู่ได้ ถึงแม้รายได้จากแมกกาซีนจะดร็อปลงบ้าง แต่สิ่งที่เติบโตเกินกว่า 100% คือธุรกิจออนไลน์ ซึ่งมาช่วยชดเชยกันได้ ในแง่ของแมกกาซีนก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้อยู่ แพรไม่เชื่อว่าแมกกาซีนจะสูญพันธุ์ไปจากโลก ในยุคที่ใครๆก็บอกว่าเป็นขาลงของสื่อสิ่งพิมพ์ ที่จริงแล้วแมกกาซีนมีคนอ่านอยู่ แต่จะทำยังไงถึงตอบโจทย์ความต้องการของคนอ่าน ถ้าวันนี้จะเดินหน้าเป็นมีเดียระดับท็อป ก็ต้องครบวงจรทุกสื่อ รักษาความเป็นต้นน้ำของคอนเทนต์ที่สามารถนำไปต่อยอดได้ ในอนาคตทีวีจะมีเม็ดเงินมากสุด และเป็นตัวลีดธุรกิจสื่อ รองมาคือออนไลน์และออนกราวนด์ ส่วนแมกกาซีนพยายามรักษาส่วนแบ่งตลาดเบอร์หนึ่งไว้ โดยปรับตัวให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด

สำหรับผู้ทรงอิทธิพลอันดับต้นๆของวงการสื่อ “ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา” ผู้ก่อตั้งนิตยสาร “ดิฉัน” และสถานีวิทยุ จส.100 ยอมรับว่า แม้รู้อยู่เต็มอกว่าสื่อสิ่งพิมพ์จะอยู่คู่กับสังคมเราได้ไม่เกิน 10 ปี แต่ก็ไม่เคยคิดทิ้งวงการน้ำหมึก
“ผมคุยกับเจ้าของบริษัทผลิตกระดาษดับเบิลเอ ได้รับการยืนยันว่ากระดาษจะหมดจากโลกภายใน 20 ปี แต่สำหรับหนังสือ ผมให้เวลา 8-12 ปี!! สื่อสิ่งพิมพ์จะอยู่กับสังคมเราไปไม่เกิน 10 ปี ถึงจะรู้ปลายทางแล้ว แต่ผมก็ยังอยากทำหนังสืออยู่ดี ผมเชื่อว่าถ้าเราเตรียมตัวอย่างดี ถึงจะรู้อนาคตแล้ว เราจะไม่หกล้มแน่นอน อีก 10 ปี ผมอายุ 89 เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว รู้ว่าจะไปโรงพยาบาลไหนไปวัดไหน ถึงเวลาก็ไม่มีปัญหาให้ใครเดือดร้อน ผมปิดคอสโมโพลิแทนไปก่อน แต่สำหรับ “ดิฉัน” อายุ 38 ปีแล้ว ผมมองว่ายังมีตลาดอยู่ แค่เราต้องทำยังไงถึงจะดึงดูดคนอ่านที่มีกำลังซื้อจริงๆ ผมเห็นแนวโน้มนี้ตั้งแต่มีไอแพด 1 และเตรียมการเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว รายได้จากโฆษณาหายไปเยอะ บางเล่มหายไป 40% เพราะ กสทช.ออกมาตูมตามเรื่องทีวีดิจิตอล 20 ช่อง จนเอเจนซี่ยุคนี้ไม่มีเพาเวอร์ เพราะเจ้าของเป็นคนเลือกเองหมดว่าอยากลงโฆษณาที่ไหน ถึงวันนี้ผมให้คำมั่นกับคนทำงานดิฉันว่า ยูต้องไปงานศพไอนะ หลังจากนั้นถ้าคนที่รับช่วงทำธุรกิจต่อ ไม่มีเทคนิคไม่สามารถทำให้ดีได้ ก็ต้องปล่อยให้มันเจ๊ง!! แต่ถ้าเขามีความคิดก้าวหน้าจะหาทางรอดได้เอง เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมเชิญโรงพิมพ์กับโรงกระดาษมาคุยว่า อนาคตมันจะเป็นอย่างนี้ ยูลดค่ากระดาษ ค่าพิมพ์ และค่าแยกสีให้ได้ไหม 30% เขาก็ยอม แต่ไม่มีใครกล้าพูดเหมือนผม ทุกคนในวงการรู้เรื่องนี้หมด แต่ยังหลอกตัวเอง”
...
สำหรับคนทำหนังสือรุ่นใหม่อย่าง “แพท–สาธิดา คล่องเวสสะ” บรรณาธิการบริหารนิตยสารขวัญเรือน ทายาทรุ่นที่สามของค่ายศรีสยามการพิมพ์ มองอนาคตสื่อสิ่งพิมพ์ด้วยความหวังว่า เราอยู่คู่สังคมไทยมา 48 ปีแล้ว แพทเชื่อว่า “ขวัญเรือน” จะยังคงอยู่ตลอดไป เพียงแต่จะอยู่ในแพลตฟอร์มไหนเท่านั้นเอง ครอบครัวเราเริ่มต้นธุรกิจจากการจำหน่ายหนังสือมือสอง และเปิดสำนักพิมพ์เล็กๆ ผลิตจำหน่ายหนังสือการ์ตูน จากนั้นก็ขยายกิจการไปเปิดโรงพิมพ์ จัดพิมพ์หนังสือการ์ตูนออกจำหน่าย และทำนิตยสารเกือบ 10 เล่ม แต่ทุกวันนี้ปิดไปเกือบหมด เหลือไว้แต่ “ขวัญเรือน” และ “แฟชั่นรีวิว” แพทเป็น บก.บห.ขวัญเรือนได้ 1 ปีแล้ว และเชื่อมั่นว่า นิตยสารแต่ละเล่มก็มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ถามว่า ทำไมขวัญเรือนอยู่ได้ ก็เพราะขวัญเรือนขายคนที่ชอบอ่านหนังสือจริงๆ ไม่เหมือนหนังสือวัยรุ่นอย่าง “I LIKE” ซึ่งแพทเคยทำ ยุคหนึ่งขายดีมาก แต่จู่ๆ วัยรุ่นไม่อ่าน เราก็ต้องหยุด และหันไปทำออนไลน์ทั้งหมด แต่สำหรับขวัญเรือน คนอ่านยังอ่านเราอยู่ ยอดขายไม่เคยตก เราพิมพ์รายปักษ์มาตลอด ปักษ์ละ 100,000 เล่ม ถามว่า เราเหนื่อยไหม เหนื่อยที่โฆษณามากกว่า มันเริ่มลดลงเรื่อยๆ ในช่วง 2-3 ปีนี้ ปีหน้าก็คงยิ่งเหนื่อย ถ้านับจากตอนพีคๆ รายได้จากโฆษณาหายไปเกินครึ่ง เอเจนซี่ มีสื่ออื่นให้เลือกอีกเยอะ ไม่ได้แพลนหนังสือเป็นสิ่งสำคัญแล้ว แต่เราจะทำต่อไปไม่เลิกแน่ๆ เพราะแบรนด์ขวัญเรือนยังสตรองอยู่ คนอ่านก็อ่านขวัญเรือนอยู่ แพทมั่นใจว่าขวัญเรือนไม่มีวันปิด!!

...
คุยกับทีมตลอดว่าเราไม่ได้เป็นแค่คนทำหนังสือ แต่เราเป็นคนผลิตคอนเทนต์ ฉะนั้นคอนเทนต์ของเราจะอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่เฉพาะบนกระดาษ อาจเปลี่ยนเป็นแมกกาซีนออนไลน์ ในยุคปัจจุบัน ถ้าแค่ทำหนังสืออย่างเดียวคงไม่รอด ต้องใช้ความเป็นขวัญเรือนทำเป็นสื่อดิจิตอลต่างๆ ออกไป ขณะเดียวกัน แพทก็ทำกิจกรรมให้สมาชิกเยอะขึ้น ริเริ่มการจัดขวัญเรือนแฟร์ ซึ่งประสบความสำเร็จมาก ก่อนหน้านี้ทุกคนในกองรู้สึกว่าเราจะปิดตัวไหม เพราะเห็นหนังสือเล่มอื่นๆ พากันปิดตัว สิ่งที่แพทย้ำกับทีมเสมอคือ ถ้าเราทำแต่หนังสือต้องเหนื่อยแน่ แต่ถ้ามีกิจกรรมอื่นๆ มาต่อยอด รับรองว่าขวัญเรือนอยู่ได้ ตอนนี้เราต้องใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ แพทเพิ่งรีโนเวทสตูดิโอขวัญเรือนไป 3 สตูดิโอ เพื่อเปิดให้เช่า พอหนังสือตัวอื่นเริ่มชะลอตัวลง ก็ต้องไปประมูลงานจากข้างนอกมาป้อนโรงพิมพ์มากขึ้น กองขวัญเรือนอาจใหญ่ไปนิด แต่การเลย์ออฟมันบั่นทอน แพท พยายามเกลี่ยคนมาทำงานอื่นๆแทน ถ้าไม่ปรับตัววันนี้ ก็มีแต่รอวันตาย สถานการณ์ ของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์กำลังวิกฤติ ถ้าแพทเข้ามาบอกให้ปรับตัวตั้งแต่ 2-3 ปีที่แล้ว อาจจะยาก แต่แพทพูดตอนนี้ทุกคนร่วมมือหมด เพราะเห็นแล้วว่าถ้าเราไม่ปรับเปลี่ยนก็ไม่รอดเหมือนกัน ทุกคนต้องช่วยกัน ถ้าจะขายแค่หน้าโฆษณามันยากแล้ว ไม่มีใครซื้อหรอก ก็ต้องคิดแพ็กเกจให้ลูกค้า คัสตอมไมซ์ตามความต้องการ

...
อีกหนึ่งคนทำหนังสือที่ประกาศว่าขอตายไปกับสิ่งพิมพ์ “ศักดิ์ชัย กาย” ผู้ก่อตั้งนิตยสาร “ลิปส์” เปิดใจว่า ผมไม่ได้คิดไปเองว่าสื่อสิ่งพิมพ์กำลังจะตาย แต่มันเกิดขึ้นจริง!! ทุกคนสามารถเป็นรายต่อไปที่ต้องปิดตัวลง ใครๆก็คิดว่า “ดิจิตอลมีเดีย” เป็นสื่ออนาคต ถนนทุกสายวิ่งไปหาโลกดิจิตอล มีการร่ำลือว่าเล่มนั้นเล่มนี้จะเป็นรายต่อไป รวมถึง “ลิปส์” ด้วย เราไม่ได้ดีใจที่เห็นเพื่อนพ้องในวงการต้องปิดตัวลง มันเศร้ามาก อย่าคิดนะว่าถ้าสื่อสิ่งพิมพ์ปิดตัวกันเยอะ เหลืออยู่ไม่กี่เจ้าแล้วเราจะดี สำหรับผมไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็จะกรีดเลือดจนหยดสุดท้ายเพื่อรักษาลิปส์เอาไว้ ผมทำสิ่งนี้มาตั้งแต่มีอาชีพ ชีวิตผมเกิดมากับสิ่งพิมพ์ และจะขอตายไปกับสิ่งนี้ ถ้าสิ่งนี้จะตายไปก่อน ผมคงทนไม่ได้ที่จะเห็นซากปรักหักพังของสิ่งที่สร้างมากับมือ!! สื่อสิ่งพิมพ์ยังเป็นสิ่งที่จับต้องได้ และจะอยู่คู่โลกต่อไป
โจทย์ใหญ่ที่ต้องขบให้แตกคือ ทำยังไงจะทำให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์อยู่ได้ยั่งยืน อาจจะไม่ใหญ่โตเหมือนยุคก่อน แต่ก็ต้องอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและทรงคุณค่าในตัวเอง.
ทีมข่าวหน้าสตรี