“การดนตรีนี้เป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไปที่ไม่ได้เล่นดนตรี ไม่ได้แต่งเพลง ไม่ได้ร้องเพลง แต่ก็ฟังเพลง ก็เข้าถึงจิตใจของเขาได้ เท่ากับทำให้จิตใจเขามีความเบิกบานก็ได้ ความเศร้าหมองก็ได้ ความตื่นเต้นก็ได้ ชักจูงต่างๆได้ นี่คือความสำคัญของการดนตรีซึ่งเหนือศิลปะอื่นๆ ฉะนั้น การดนตรีจึงมีความสำคัญสำหรับประเทศชาติ สำหรับสังคม ถ้าทำดีๆก็ทำให้คนเขามีกำลังใจที่จะปฏิบัติการงาน ก็เป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งที่ให้ความบันเทิง ทำให้คนที่กำลังท้อใจมีกำลังใจขึ้นมาได้ คือเร้าใจได้ คนกำลังไปทางหนึ่ง ทางที่ไม่ถูกต้อง ก็อาจดึงให้กลับมาใน ทางที่ถูกต้องได้...” พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานแก่คณะกรรมการสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย วันที่ 16 ธ.ค. 2524
...
พระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถด้านดนตรีของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับพสกนิกรชาวไทย ทั้งบทเพลงพระราชนิพนธ์อันไพเราะ และวงดนตรีที่เป็นตำนานอย่าง “วง อ.ส.วันศุกร์”
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2495 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงอัมพรสถาน (อ.ส.) ภายในพระราชวังดุสิต เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการให้สาระและบันเทิงแก่ประชาชน พระองค์โปรดเกล้าฯให้วงดนตรีลายครามและวงดนตรีของมหาวิทยาลัยต่างๆ ตลอดจนหน่วยงานราชการและเอกชน ได้มีโอกาสหมุนเวียนกันมาบรรเลงดนตรีส่งกระจายเสียงทางสถานีวิทยุ อ.ส.เป็นประจำ บางครั้งจะเสด็จฯลงมาทอดพระเนตรและทรงแนะการเล่นดนตรีแก่นักดนตรีสมัครเล่นที่เพิ่งเข้าวังเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ดี เนื่องจากวงลายครามในตอนนั้นมีนักดนตรีสมัครเล่นสมทบมาก จึงมีการรวมตัวกันจัดตั้งวงดนตรีใหม่ คือ “วงดนตรี อ.ส.วันศุกร์” โดยบรรเลงเพลงออกอากาศทางสถานีทุกเย็นวันศุกร์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงจัดรายการเพลงด้วยพระองค์เอง และทรงร่วมบรรเลงดนตรี ทรงเปิดโอกาสให้ผู้ฟังโทรศัพท์เข้ามาขอเพลงได้ บางครั้งทรงรับโทรศัพท์ด้วยพระองค์เอง ครั้งเกิดเหตุการณ์มหาวาตภัยแหลมตะลุมพุก ได้อาศัย “วงดนตรี อ.ส.” ประกาศเชิญชวนประชาชนให้บริจาคทรัพย์และสิ่งของ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งกลายเป็นที่มา ของการก่อตั้งมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์สำหรับวงดนตรี อ.ส.วันศุกร์ มักบรรเลงเพลงแจ๊สหลากหลายลีลา และนำเสนอเพลงพระราชนิพนธ์ใหม่ด้วย สมาชิกของ “วง อ.ส.วันศุกร์” มีทั้งสมาชิกเก่าจากวงลายคราม และสมาชิกใหม่ โดยหนึ่งในนักดนตรีอายุน้อยที่สุดของ “วง อ.ส.วันศุกร์” ที่มีโอกาสถวายงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาทใกล้ชิด โดยได้ร่วมเล่นดนตรี “วง อ.ส.วันศุกร์” กว่า 30 ปี คือ “รศ.ดร.ภาธร ศรีกรานนท์” บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของ “ศาสตราจารย์พิเศษ แมนรัตน์ ศรีกรานนท์” สมาชิกรุ่นก่อตั้งของวง
“ผมมาร่วมวง อ.ส.วันศุกร์ ตอนอายุ 13-14 ปี เนื่องจากคุณพ่อเป็นนักดนตรีวงนี้มากว่า 60 ปี พ่อเล่นดนตรีกับในหลวง รัชกาลที่ 9 มาโดยตลอด ตอนเด็กๆผมมีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระองค์ท่าน โดยที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ได้แต่วิ่งเล่นไปมา กระทั่งอายุ 10 ขวบ โตพอที่รู้แล้วว่าพระองค์ท่านเป็นใคร และได้ฟังพระองค์ท่านทรงแซกโซโฟน ทำให้เกิดความประทับใจ จึงเริ่มฝึกเล่นแซกโซโฟน เมื่อเล่นแซกโซโฟนได้แล้ว คุณพ่อก็พาผมเข้าไปถวายตัวเป็นสมาชิกวง อ.ส.วันศุกร์ ต่อมาพระองค์ท่านได้พระราชทานเครื่องดนตรีหลายชิ้น เพื่อให้ฝึกฝนเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นอัลโต้ แซกโซโฟน, เทเนอร์ แซกโซโฟน, คลาริเน็ต และทรัมเป็ต”...รศ.ดร.ภาธรบอกเล่าถึงความประทับใจ ในงาน “คีตรัตนบรมราชานุสรณ์ ธ สถิตกลางใจราษฎร์นิรันดร์” ที่ดิ เอ็มควอเทียร์
รู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ได้เล่นดนตรีร่วมกับในหลวง รัชกาลที่ 9
รู้สึกตื่นเต้นมาก พระองค์ท่านรับสั่งกับผมในวันแรกว่า “เล่นดังๆหน่อย เล่นดังๆก็ได้” คือจริงๆผมไม่ได้เล่นค่อยหรอกครับ แต่ไม่กล้าเล่นดัง กลัวพระองค์ท่านทรงได้ยิน เพราะห้องทรงดนตรีเป็นห้องส่งสถานีวิทยุ อ.ส. ซึ่งอยู่ภายในพระราชวังดุสิต ข้างพระตำหนักจิตรลดาฯเลย เรียกว่าจะใกล้ชิดพระองค์ท่านมาก เดินไป 20 ก้าวก็ถึง แล้วพระองค์ท่านจะเสด็จฯลงมาทรงดนตรีร่วมกับสมาชิกในวง เมื่อก่อนวงเราเล่นกันทุกวันศุกร์และวันอาทิตย์ สัปดาห์ละ
2 ครั้ง แต่ช่วง 16-17 ปีก่อน พระองค์ท่านเสด็จฯแปรพระราชฐานไปประทับที่พระราชวังไกลกังวล จึงลดเหลือวันเดียวคือวันเสาร์ เพราะสมาชิกหลายคนยังคงทำงานอยู่ ทรงเห็นว่าไม่สะดวกหากจะตามเสด็จฯไปอยู่หัวหิน เลยโปรดให้มีเฉพาะวันเสาร์
พระองค์ท่านมีพระมหากรุณาธิคุณกับ “อาจารย์ภาธร” เพียงใด
...
ตั้งแต่ผมเป็นเด็ก พ่อกับแม่คุยกันว่า ถ้าอยากให้ผมเอาดีทางด้านดนตรี ก็น่าจะไปเรียนต่างประเทศ จึงส่งผมไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่มัธยม เป็นโรงเรียนสอนด้านดนตรี พระองค์ท่านพระราชทานทุนหลวงให้ ซึ่งเป็นทุนส่วนพระองค์ จนผมเข้ามหาวิทยาลัย และเรียนจบปริญญาเอก ทุกครั้งที่ปิดเทอม ผมจะมาเข้าเฝ้าฯพระองค์ท่าน มาเล่นกับวง อ.ส.วันศุกร์ ทรงสอนการเล่นดนตรีแจ๊ส และทรงกำชับว่า ให้เรียนดนตรีคลาสสิก เพราะจะเป็นพื้นฐานที่ดีต่อไป หลังจบปริญญาเอก ผมก็เข้าไปเล่นดนตรีถวายเต็มเวลา
...
ทรงมีวิธีการสอนอย่างไรบ้าง
ในการสอนของพระองค์ ทรงเริ่มด้วยวิธีการวอร์มอัพ ต้องเป่าอย่างไร ต้องเล่นอย่างไร การวางนิ้วที่เราไม่รู้จะจับอย่างไรใช้อย่างไร การออกเสียงเป็นแบบไหน ซึ่งจะเป็นเบสิกพื้นฐาน นอกจากนี้ ยังทรงสอนวิธีการเป่าคลาริเน็ต แบบคลาสสิก กับแบบแจ๊ส มันต่างกันอย่างไร มุมองศาที่จะเป่าต้องทำอย่างไร จะทรงทำให้ดูก่อน ทรงสอนและทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่าง พระองค์ท่านทรงเครื่องดนตรีได้ทุกชนิด อย่างตอนทรงทรัมเป็ต ก็จะทรงแนะนำวิธีการวางปากว่าวางอย่างไรถึงจะเป่าได้ รับสั่งว่า เทคนิคที่พระองค์ใช้ ทรงเรียนรู้เอง ไม่ได้ไปทรงศึกษากับใคร ทรงฟังจากแผ่นเสียงของนักดนตรีเก่งๆ แล้วก็ทรงเล่นให้เข้ากับแผ่นเสียง ขณะทรงพระเยาว์ ทรงเคยศึกษาด้านดนตรีอยู่ 2-3 ปี โดยทรงศึกษาพื้นฐานเบสิก เพื่อให้อ่านโน้ตและคอร์ดได้ พระองค์ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านดนตรีจริงๆ เวลาที่ทรงสอน ไม่ทรงดุเลย พระทัยดีมาก จะทรงดุบ้างตอนที่นำเพลงมาให้เราฟัง แล้วบางทีพวกเราไม่ได้ฟัง ก็จะโดนดุ “เปิดให้ฟัง แล้วไม่ฟัง จะได้เล่นได้ จะได้เล่นดีๆ” คือทรงอยากให้ฟังว่าเขาใช้สำเนียงอย่างไร เล่นอย่างไร ใช้คอร์ดอะไรเล่นเพลงนี้
...
บรรยากาศในการฝึกซ้อมและเล่นดนตรีของวง อ.ส.วันศุกร์ รื่นรมย์ขนาดไหน
ช่วงแรกๆ จะเล่นเพลงวงบิ๊กแบนด์กัน แต่นักดนตรีในวง อ.ส.วันศุกร์มีจำนวนไม่ถึง วงบิ๊กแบนด์ต้องใช้นักดนตรีราว 15-20 คน พระองค์ท่านต้องทรงใช้วิธีอัดทับเป็นชั้นๆ อัด 4 ครั้ง ถึงจะได้เสียงที่แน่น เราเล่นเพลงวงบิ๊กแบนด์ประมาณ 4 เพลง จากนั้นจึงเล่นเพลงสแตนดาร์ดแบบวงเล็ก พอสักพัก เพลงบิ๊กแบนด์ก็เลิกเล่นไป เพราะอาๆนักดนตรีหลายคนโรยราไม่ไหวกันแล้ว ต้องใช้แรงมากจริงๆ พอไม่ได้เล่นเพลงวงบิ๊กแบนด์ ก็เลยหันมาเล่นนิวออร์ลีนส์ แจ๊ส การเล่นดนตรีในวง อ.ส.วันศุกร์ พวกเรามีเพลงประจำที่เล่นเพลงพระราชนิพนธ์อยู่ 2 เพลง คือ แรกๆจะเล่นเปิดวงด้วยเพลง “I think of you” ซึ่งมีความหมายน่ารักดี แทนความคิดถึงกันไม่ได้เจอกันมาเป็นอาทิตย์ แต่ช่วงหลังไม่ได้เล่นนานมากแล้ว เพิ่งเอากลับมาเล่นเมื่อ 3 ปีก่อน จากนั้นพวกเราจะปิดท้ายด้วยเพลง “When” ซึ่งเพลงนี้เล่นเป็นประจำ มีนัยว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก เพลง when มีเนื้อภาษาไทยด้วยว่า “ไกลกังวล” เนื้อหาบอกว่า เล่นดนตรีเสร็จแล้วนะ แล้วลงทะเลต่อ เล่นถึงเช้า แล้วลงทะเลต่อ ตอนหลังเพลงนี้ “ท่านผู้หญิง มณีรัตน์ บุนนาค” มาใส่เนื้อใหม่เป็นเพลง “เกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย” แต่ก่อนหน้านั้น จะเป็นเพลง “ไกลกังวล” ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไหร่ เพราะเราเล่นกันเฉพาะในวง
ทุกครั้งที่เล่นดนตรีร่วมกับวง อ.ส.วันศุกร์ มีความสุขมากน้อยแค่ไหน
พวกเรามีความสุขมาก เพราะเวลาเล่นดนตรีจะลืมทุกอย่าง กองทุกอย่างไว้หน้าห้อง พระองค์ท่านทรงใช้ช่วงเวลานี้เป็นเวลาสำราญพระราชหฤทัย คือในยุคแรกๆก่อนผมเข้าเป็นสมาชิกวง ทรงใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือสื่อสารกับประชาชน จะเสด็จฯไปทรงเล่นดนตรีในมหาวิทยาลัยต่างๆ เรียกว่า “วันทรงดนตรี” หรือ “วันสังคีตมงคล” เป็นวันที่นักดนตรีมาร่วมชุมนุมกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ หลังจากปี 2516 ก็ไม่ได้เสด็จฯไปทรงดนตรีตามมหาวิทยาลัย เนื่องจากพระราชภารกิจมากขึ้น หลังจากนั้น การทรงดนตรีได้กลายเป็นการผ่อนคลายพระอิริยาบถเพื่อความสำราญแทน แต่ละครั้งที่เล่นจะใช้เวลาตั้งแต่ 2-3 ชม. แล้วแต่ว่าจะมีพระราช–ภารกิจมากน้อยแค่ไหน ผมจำได้ว่าตอนที่ “สมเด็จย่า” ทรงพระประชวร เมื่อ 20 ปีที่แล้ว พอเวลาตีหนึ่ง 15 ปั๊บ จะทรงเก็บเครื่องดนตรีทันที เพื่อเสด็จฯไปเยี่ยมสมเด็จย่า ที่โรงพยาบาล พระองค์ท่านรับสั่งว่า “ไปเยี่ยมกลางวันไม่ดี เดี๋ยวรถจะติด” ทรงเป็นห่วงประชาชน เลยเสด็จฯในเวลากลางคืนแทน
ตลอด 30 ปีที่ได้ถวายงาน อะไรคือสิ่งที่ประทับใจที่สุด
ช่วงเวลาที่ประทับใจมีมากมาย พระองค์ท่านทรงรู้ว่า ผมเป็นคนขี้ลืม ผมลืมง่าย ก็จะรับสั่งให้ผมจดทุกอย่างให้ละเอียด “เห็นอะไร รู้อะไร จดให้หมด อีกหน่อยก็ไม่เหลือใครแล้ว จะได้เก็บมาเล่าให้ลูกหลานฟัง” ผมบอกเลยว่า รู้สึกภูมิใจมากที่ได้ทำหน้าที่นี้ การได้มีโอกาสถวายงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาท เป็นความภูมิใจสูงสุดในชีวิตแล้ว ชีวิตผมทั้งชีวิตก็มีแต่พระองค์ท่าน ที่สุดแล้วรู้สึกว่าตัวเองโชคดี จะมีสักกี่คนที่ได้กราบพระบาทในหลวงทุกอาทิตย์ เป็นเวลา 30 ปี
ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิตในด้านใด
พระองค์ท่านทรงสอนผมหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องการดำเนินชีวิต ตอนผมจบมาใหม่ๆไฟแรงมาก พอเจอปัญหาในการทำงาน ก็ทรงสอนว่า “ให้ทำดีที่สุด ถ้าดีที่สุดแล้ว ก็ไม่ต้องเสียใจ” ผมได้เรียนรู้ว่า พระองค์ท่านทรงเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐมากๆ ถ้าจะบอกว่าทรงเป็นเทวดาก็คงไม่ผิด แต่ถ้าจะบอกว่าทรงเป็นเทพ ที่ไม่รู้สึกว่าความเป็นมนุษย์เป็นอย่างไรนั้น ไม่จริงเลย พระองค์ท่านไม่ได้อยู่บนหิ้ง ไม่ได้อยู่รอให้คนมากราบไหว้บูชา ไม่ทรงปรารถนาเช่นนั้น ทรงเป็นปุถุชนเหมือนเรา และทรงหวังดีกับทุกคน ทรงหวังดีกับประเทศชาติ ทรงมองทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ และไม่ทรงเลือกข้าง เวลามีเหตุการณ์ใหญ่ๆในประเทศจะทรงเป็นกลางมาก พวกเรานักดนตรีวง อ.ส.วันศุกร์ ก็ช่วยพระองค์ท่านได้ด้วยการถวายความสำราญ จากนี้ไปสิ่งที่ผมทำได้ คือการถ่ายทอดความทรงจำและความสุข เพื่อบอกเล่าสู่รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป.
ทีมข่าวสตรีไทยรัฐ