มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับมูลนิธิเพชรรัตนสุวัทนา โดยความร่วมมือของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ จัดนิทรรศการ ย้อนมองอาภรณ์สตรีศรีสยาม แลตามแฟชั่นโลก ครั้งยิ่งใหญ่ในรอบปี “อัฐรัช พัสตราภรณ์” โดยอัดขยายภาพจากฟิล์มกระจกจำนวน 45 ภาพ ที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน มาจัดแสดง เพื่อให้เห็นถึงพัฒนาการแฟชั่นเสื้อผ้าของสตรีไทยเทียบเคียงกับแฟชั่นในโลกตะวันตก เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของไทยที่แสดง ออกผ่านเครื่องแต่งกายอันงดงาม และเทียบเคียงกับสากลได้อย่างสง่างาม โดยไม่ทิ้งความเป็นตัวตน เปิดให้เข้าชมฟรี ระหว่างนี้ถึงวันที่ 10 ตุลาคม ณ หอวชิราวุธานุสรณ์ หอสมุด แห่งชาติ ท่าวาสุกรี

ลุพธ์ อุตมะ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์แฟชั่นและพัสตราภรณ์ กล่าวถึงนิทรรศการครั้งนี้ว่า ทุกเดือนหอจดหมายเหตุฯ จะนำภาพถ่ายโบราณฟิล์มกระจกที่เก็บรักษาไว้จำนวน 100 ภาพ ในรัชกาลที่ 6 มาอัดขยาย พบว่า มีภาพบุคคลในรัชกาลที่ 6 ที่ยังไม่มีการตีความให้ชัด ประกอบกับการศึกษาแฟชั่นสตรีสยามในรัชสมัยนั้นมีน้อยมาก คณะผู้จัดทำจึงคัดเลือก 45 ภาพ จาก 300 ภาพมาแสดง จุดเด่นเป็นภาพที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน มีความคมชัด และสะท้อนแฟชั่น 3 ยุคคือ ช่วงต้นรัชกาล ช่วงกลางรัชกาล และช่วงปลายรัชกาลที่ชัดเจน ซึ่งตรงกับพัฒนาการแฟชั่นยุโรป นิทรรศการนี้จะเป็นองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์สังคม ประวัติศาสตร์ศิลปะ และพัสตราภรณ์ที่ถูกต้อง เสื้อผ้าไม่ได้บอกแค่ความสวยงาม แต่มีบริบททางสังคม เศรษฐกิจ และรัฐศาสตร์
...

กูรูทางประวัติศาสตร์แฟชั่นยังกล่าวอีกว่า ช่วงที่รัชกาลที่ 6 ทรงครองราชย์ แม้จะแค่ 15 ปี แต่มีการเปลี่ยนแปลงการแต่งกายชัดเจนมาก ถือเป็นช่วงสำคัญช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสยาม โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพของสตรี จากนุ่งโจงกระเบนเริ่มมีการนุ่งซิ่น โดยช่วงกลางรัชกาลตรงกับสงครามโลกครั้งที่ 1 เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน มีการใช้ผ้าซิ่นจากเสื้อผ้าที่รัดตัวก็ปล่อยหลวม เอวของเสื้อต่ำลงมา ชายกระโปรงจากกรอมเท้าก็ค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาจนถึงเข่า แขนเสื้อที่ปิดถึงข้อแขนร่นมาถึงข้อศอก ผู้หญิงเริ่มมีอาชีพมากขึ้นและหลากหลาย ต้องช่วยกิจกรรมสงคราม ความคล่องตัวสำคัญ ผ้าจาก 10 หลา ทำกระโปรงเหลือ 3-4 หลา แพตเทิร์นง่ายขึ้น การใส่คอร์เซ็ต ยกเลิกตอนปลายรัชกาลที่ 6 เหมือนการปลดปล่อยทรงผม จากยาวและเกล้าเป็นมวย เป็นผมบ๊อบ เห็นได้จากพระรูปสมเด็จพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราช เทวีฉลองพระองค์แบบค็อกเทลสายเดี่ยว สไตล์อาร์ตเดโค

สำหรับลักษณะเด่นของแฟชั่นสตรีในรัชกาลที่ 6 ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์แฟชั่นบอกว่า ทรงมีพระราชนิยมเรื่องการนุ่งซิ่น ไว้ผมยาว และฟันขาว สตรีสยามนำพระราชดำริของพระองค์มาผสมกับแฟชั่นโลกตะวันตก เกิดอัตลักษณ์สตรีนุ่งซิ่นพร้อมกับเสื้อแบบยุโรป การแต่งกายของสยามเป็นแบบไฮบริด หยิบยืมเสื้อผ้าจากหลายชาติมาผสมผสานลงตัวเพื่อสร้างอัตลักษณ์ สตรีสยามฉลาดไม่ยืมหมด จึงมีกลิ่นอายความเป็นสยาม สมเด็จฯเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ ทรงเป็นหนึ่งในสตรีผู้นำแฟชั่นในยุครัชกาลที่ 6 เรียกกันว่า “เจ้าฟ้าหญิงแหม่ม” คณะผู้จัดทำมีแนวคิดจะนำนิทรรศการนี้ไปจัดแสดงที่ประเทศอังกฤษ ด้วย ชาวต่างชาติที่สนใจการนำแฟชั่นตะวันตกผสมความเป็นสตรีไทยอย่างมาก จะมีการตีความ ทำไมสตรีสยามไม่เป็นฝรั่ง 100% เพราะยุคนั้นมีการต่อต้านการล่าอาณานิคมด้วย สวยงามแต่ไม่ใช่ฝรั่งจ๋า เพราะไม่ใช่เมืองขึ้นของใคร!!